พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! มหากาพย์โกงที่ส่ง"ลูกโอ๊ค" คอพาดเขียง นับเป็น"ชินวัตร"รายล่าสุดที่โดนคดีทุจริต ซ้ำรอยพ่อ-อาสาว

พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! มหากาพย์โกงที่"ลูกโอ๊ค" ถูกสั่งฟ้องวันนี้ นับเป็น"ชินวัตร" รายล่าสุดที่โดนคดีทุจริต ซ้ำรอยพ่อ-อาสาว

พลิกแฟ้ม-คดีฟอกเงินกรุงไทย! มหากาพย์โกงที่"ลูกโอ๊ค" ถูกสั่งฟ้องวันนี้ นับเป็น"ชินวัตร" รายล่าสุดที่โดนคดีทุจริต ซ้ำรอยพ่อ-อาสาว


วันนี้มีข่าวใหญ่ทางการเมืองอยู่ชิ้น ซึ่งไม่พูดคงไม่ได้ นั่นคือ ข่าวที่ "อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4" ได้มีคำสั่งฟ้อง "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ"นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคดี  ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 4 ในฐานความผิดสมคบ และร่วมกันฟอกเงินคดีทุจริตอนุมัติสินเชื่อ ธ.กรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่งมีการรับเช็คจำนวน 10 ล้านบาท และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5,9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4 


โดยฐานความผิดฐานฟอกเงินนั้น มีโทษจำคุก 1-10 ปี ซึ่งมีอายุความไม่เกิน 15 ปี ส่วนเช็คจำนวน 26 ล้านบาทซึ่งสั่งจ่ายออกมาอีกใบนั้น อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตัวเขา และจะส่งสำนวนพร้อมความเห็นดังกล่าวกลับไปยัง DSI ว่า จะมีความเห็นแย้งกับอัยการหรือไม่-อย่างไร ขณะที่ตัวนายพานทองแท้ จะถูกอัยการนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ต่อไป

 

ความเห็นการสั่งฟ้องของ "อัยการฯ" นับว่าน่าสนใจ และเรียกสายตาจากคอการเมืองให้หันมาจับจ้องในเรื่องนี้ทันที เพราะโดยตัวมันเอง...คดีปล่อยกู้กรุงไทยฯ นั้นน่าจับตาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะมันถือเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์ "การโกง" ที่ยืดเยื้อยาวนานพอสมควร กระทั่งอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยซึ่งเกี่ยวโยงในเรื่องนี้ ถูกศาลฎีกาฯ นักการเมืองจำคุกไปถึง 18 ปี เมื่อกลางปี 2558 หรือเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ชื่อของนายพานทองแท้ ก็คาบลูกคาบดอก...มีชื่อ...ไม่มีชื่อ...ในคดีนี้มาโดยตลอด

 

อย่างไรก็ตาม หากจะทำความเข้าใจคดีนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงชั้นการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน โดยตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน  และกรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน


 
และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วม หลังจากถูกสังคมตั้งคำถามกรณีนี้อย่างหนักหน่วง ว่าเหตุใดจึงอึดอาดนัก ทว่าในคำฟ้องนั้นกลับทำให้สังคมคลางแคลงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ก่อนที่จะหวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้ง กระทั่งถูก DSI หิ้วตัวส่งอัยการฯ และมามีความเห็นสั่งฟ้องในวันนี้

 
ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อกรณีที่ชื่อของนายพานทองแท้หายไปในช่วงหนึ่ง ที่ผ่านมาสังคมกลับไม่ได้รับความกระจ่างในเรื่องนี้มากนัก มีอภินิหารอะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คาใจคนไทยที่รักความถูกต้องมาจนวันนี้ (เหมือนกับที่อัยการถอนฟ้องคดีธรรมกาย ช่วงที่ทักษิณเรืองอำนาจ ทั้งที่เหลือการสอบพยานอีกแค่ 2 ปากไม่มีผิด)


แต่ก็นั่นแหล่ะ ท้ายที่สุดชื่อของ "นายพานทองแท้" ได้หวนกลับมาอยู่ในสำนวนอีกครั้งหลังคดีถูกพลิกแฟ้ม กระทั่งถูกเรียกเข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2560 หรือ 1 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่คดีจะหมดอายุความไปก่อนดังที่หลายคนตั้งข้อสังเกต เหมือนกับที่ "คดีรับของโจร" ที่ควบคู่กันมากับคดีฟอกเงิน ถูกยื้อจนหมดอายุความไปต่อหน้าต่อตา 


และการแจ้งข้อกล่าวหาของ DSI ต่อนายพานทองแท้ในคราวนั้น เป็นผลมาจาก การที่ ป.ป.ง.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ DSI ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเงินปากถุงจากการปล่อยกู้คดีดังกล่าว และถึงแม้ทางด้าน "นายพานทองแท้" จะเคยเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิด ของกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้ออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวนับแต่นั้น


และถึงแม้วันนี้  ทางอัยการฯ จะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง "นายพานทองแท้" ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 4 รวมทั้งสั่งไม่ฟ้อง "นางเกศินี จิปิภพ" ผู้ต้องหาที่ 1 ในคดีเช็ค 26 ล้านด้วยยกประโยชน์ให้ผู้ต้องสงสัยก็ตาม แต่ก็ได้สั่งฟ้อง "นางกาญจนาภา หงษ์เหิน" เลขานุการส่วนตัวของ "คุณหญิงพจมาน" แม่ของนายพานทองแท้ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 รวมทั้ง "นายวันชัย หงษ์เหิน" สามีของนางกาญจนภาจำเลยที่ 3 ฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน ตามสำนวนการสอบสวนการรับเช็ค 26 ล้านบาทอยู่ด้วย...ซึ่งถือว่ารอด 2 โดนไป 2 สำหรับเช็ค 26 ล้าน และจะว่าไปแล้วผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คน เกาะเกี่ยวกันอย่างแทบจะแยกจากกันไม่ออก...สำหรับเช็คทั้ง 2 ใบที่ว่านี้

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จนถึงขณะนี้ต้องบอกว่า "นายพานทองแท้" ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ตราบเท่าที่ศาลยังไม่มีคำตัดสินออกมา และตัวนายพานทองแท้เอง ก็ระบุว่า "พร้อมสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตน และให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาตลอด"


...แต่ก็อย่างที่บอก...แม้นายพานทองแท้ จะยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตน แต่เรื่องคงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะทั้งหลายทั้งปวงต้องใช้หลักฐานในการคัดง้างข้อกล่าวหา ซึ่งตัว  "นายพานทองแท้" น่าจะรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคยเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ก่อนจะตกเป็นจำเลยคดีในวันนี้ เพราะพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิด (ตามสำนวนที่ DSI ระบุ)


และหากจะพูดกันอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม เรื่องนี้เป็น "มหากาพย์การโกง" ที่ยืดเยื้อยาวนานระดับ 10 ปีขึ้น กระทั่ง "คดีรับของโจร" ที่ควบคู่กันมากับคดีฟอกเงิน ยังถูกยื้อจนหมดอายุความไปต่อหน้าต่อตาดังกล่าว แต่เมื่อคดีถูกนำขึ้นสู่ศาลฯ แล้ววันนี้ คอการเมืองทั้งหลายคงต้องจับตาดูว่า สุดท้ายเรี่องนี้จะลงเอยเช่นไร...ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่จะสู้คดีความด้วยกลยุทธ์ใด และสุดท้ายต้องระเห็จออกนอกประเทศ...ซ้ำรอยผู้พ่อ และอาสาวหรือไม่...อีกไม่นานคงได้รู้