- 19 ต.ค. 2561
กระดูกคนละเบอร์!"หญิงหน่อย"พลาดเลย วิจารณ์บัตรสวัสดิการรัฐ เทียบ 30 บาท โดน"สมคิด"ต้นตำรับสอนมวยไม่พอ เจอ"ไก่อู" ถึงจุกอก??
แรงจริงชั่วโมงนี้ในพรรคเพื่อไทย สำหรับ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" แคนดิเดทเก้าอี้หัวหน้าพรรค หลังจากกระแสข่าวสะพัดว่าเลื่อนนัดพบปะสื่อใหญ่ เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพูดคุยรอบสุดท้ายกับ นายทักษิณ ชินวัตร และโมเมนตั้มทางการเมืองก็ดูเหมือนว่าจะมีชื่อเป็น 1 ใน 3 ว่าที่ผู้ท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ภายใต้สังกัดพรรคเพื่อไทยแน่นอน หลังจากคัมแบ็คมาสมัครสมาชิกพรรคอีกรอบเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา
ย้อนดูโปรไฟล์คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โดยสังเขป เริ่มต้นเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติจริง ๆ เป็นช่วงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 และได้รับความไว้วางใจเป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 12 ของพรรคพลังธรรม หลังจากระยะหนึ่งก็มาร่วมงานกับนายทักษิณ ในพรรคไทยรักไทย และร่วมงานการเมืองกันมาโดยตลอดจนกระทั่งเกิดกรณียุบพรรค และถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี มีหน้าที่การงานในรัฐบาลหลายตำแหน่ง ทั้ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม , รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในช่วงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็มุ่งมั่นทางพุทธศาสนา โดยสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จาก คณะบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมกับทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการ ดำเนินงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เป็นข่าวคราวอยู่พักใหญ่
ไฮไลท์ก็คือเมื่อมีสัญญาณชัดเจนถึงการเข้าสู่เส้นทางการเมืองครั้งใหม่ ถึงขั้นเป็นแคนดิเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ ก็ชิมลางด้วยการเปิดประเด็นวิวาทะว่าด้วย "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยการย้อนนำไปเปรียบเทียบกับหลักประกันสุขภาพ ในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ของเก่าดีกว่าของใหม่ เพราะเป็นการสร้างโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างมีคุณภาพทัดเทียมกัน พร้อมท้วงติงเรื่องการอนุมัติกฎหมายตั้งซูเปอร์บอร์ดสุขภาพ โดยอ้างว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเพียง 3 คน จาก 45คน เข้าร่วม แล้วที่เหลือส่วนมากเป็นข้าราชการ และมีเอกชนตัวแทนบริษัทยาข้ามชาติมาเป็นกรรมการ ผลท้ายสุดก็จะทำให้เกิดปัญหาการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล
ไม่จบเท่านั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ยังตามด้วยอีกหนึ่งชุดใหญ่ ระบุุว่าสืบเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในโครงการหลักประกันสุขภาพ มีใจความสำคัญลงไปถึงการตีความเรื่อง "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ว่าจะเป็นอุปสรรคทำให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการผู้ป่วยผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับสิทธิ์การรักษาฟรีอยู่แล้ว ตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ให้สิทธิคนไทยทุกคน ได้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพดีทัดเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะยากจนแค่ไหน ก็ต้องมีสิทธิ์ได้รับการรักษาพยาบาลในมาตรฐานเดียวกันกับคนอื่น
ลงท้ายมีแง่มุมการเมืองประกอบมาเป็นปะทะเป็นน้ำจิ้มด้วยว่า กรณีที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประกาศในเชิงท้าทายพรรคเพื่อไทยว่า ในอนาคตถ้าคิดจะทำต้องให้ดีกว่าบัตรประชารัฐ ด้วยว่า "ขอเรียนว่าพวกเรามีวิธีคิด วิธีทำงาน ทีต่างจากที่รัฐบาลนี้ ทำมากว่า4 ปี เราให้ความสำคัญกับการสนับสนุน และกระจายรายได้ให้ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก start up ตลอดจนเกษตรกรซึ่งเป็น "คนตัวเล็ก" แต่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะการเพิ่มเงินในกระเป๋าของคนส่วนใหญ่เหล่านี้ จะสร้างกำลังซื้อภายในประเทศที่จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเติบโตได้ต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าเรามีวิธีที่จะสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนโดยตรง แบบไม่ใช่ให้แค่ผ่านมือคนจนไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น"
บริบททางการเมืองส่วนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการแยกแยะตีความ แต่โดยนัยก็สื่อพอให้เห็นภาพการแข่งขันเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และบุคคลที่อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย อย่าง นายทักษิณ ก็คงไม่ยอมให้ ดร.สมคิดในฐานะผู้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เดินเกมส์เรื่องนโยบายแต่เพียงฝ่ายเดียว กลับกันที่ผ่านมาผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐก็ประกาศชัดว่ายังมีนโยบายเพื่อการพัฒนาประเทศ 20 ปีข้างหน้าอีกหลายมาตรการเป็นเป้าหมายให้สานต่อ
ขณะที่โปรไฟล์ของดร.สมคิดเองก็ไม่ธรรมดา นอกเหนือจากตำแหน่งหน้าที่หลัก ๆ ในภาคเอกชน โดยเฉพาะ ตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ยังเป็นคีย์สำคัญการเข้าร่วมงานการเมืองในฐานะของผู้ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และวนเวียนอยู่ในตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ โดยตลอด ทั้ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนกระทั่งสิ้นยุครัฐบาลทักษิณ หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
(ข้อมูลวิกิพีเดีย : ดร.สมคิด ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาลทักษิณ โดยนโยบายประชานิยมหรือนโยบายเศรษฐกิจหลายอย่างก็มาจากแนวความคิดของ ดร.สมคิดเอง ในระหว่างการทำงานการเมืองได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ดี เพราะเก่งกาจ มีความเชี่ยวชาญสามารถคนหนึ่ง และได้ชื่อว่าบางครั้งก็ไม่ทำตามนโยบายหรือแนวทางของนายทักษิณกำหนดไว้เสมอไป)
ดังนั้นการที่ ดร.สมคิด ออกมากระแทกกลับ คุณหญิงสุดารัตน์ จึงน่าสนใจยิ่งในเนื้อหาถ้อยคำ ถ้ามองในมิติการเมืองเชิงเทียบชั้น "บัตรนี้มีประโยชน์ เพราะช่วยคนยากไร้ คนแก่ เราดูแลไม่ให้มีการรั่วไหล มีการตรวจสอบคุณสมบัติของคนที่มีบัตรว่ายากไร้จริงหรือไม่ ไม่มีใครเขาเรียกบัตรคนจน มีแต่คุณหญิงสุดารัตน์ หาข้อมูลหน่อยนะครับ ทำการบ้านหน่อยนะ ถ้าจะทำ ก็พยายามทำให้ดีกว่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย"
หนักกว่านั้น ก็คือคำอธิบายของ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยการออกมากล่าวถึงกรณีว่า รัฐบาลนี้ให้ผู้ถือบัตรคนจนรักษาฟรี เป็นการแบ่งแยกคนรวยคนจน ว่า "คุณหญิงสุดารัตน์อาจจะไม่ได้ศึกษาจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยมองปัญหาจากความคิดของตัวท่านเองเป็นหลัก เพราะมติ ครม.ที่ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรักษาฟรีนั้น เป็นเพียงการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความในกฎหมายให้ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ไม่ได้มีผลต่อสิทธิรับการรักษาที่ฟรีอยู่แล้ว และเมื่อดูจากเนื้อหาที่คุณหญิงสุดารัตน์เขียนก็น่าจะหวังผลทางการเมือง เพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากกว่าที่จะเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับสังคม คล้ายกับที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลเคยถูกกล่าวหาว่าจะยกเลิกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง"
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นเรื่องเดียวกันซึ่งพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเสมอว่า คนไทยทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการหรือประกันสังคมจะได้รับสิทธินี้ เป็นการรักษาฟรีด้วยคุณภาพที่ดีทัดเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ แต่หากใครมีกำลังพออยากจะร่วมจ่ายกับภาครัฐ