ปิดตำนาน 32 ปี "เสี่ยตือ" วางมือ! ในวงการ (เมือง)

" นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล " หรือ "เสี่ยตือ" อดีตแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ " Somsak Pris " โดยมีเนื้อหาระบุในลักษณะเชิงขออำลาจากพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ตนอยู่มานานถึง 32 ปี

            (วันนี้) 7 พ.ย. " นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล " หรือ "เสี่ยตือ"  อดีตแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)  ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ " Somsak Pris "  โดยมีเนื้อหาระบุในลักษณะเชิงขออำลาจากพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ตนอยู่มานานถึง 32 ปี ใจความว่า          “ลาก่อน…… เพราะรักจึงต้องลา ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมีวันนี้ บ้านที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านที่เป็นทั้งชีวิต วิญญาณ และลมหายใจ เมื่อรู้ว่าจะทำให้บ้านต้อง

 

 

มีปัญหา เพราะตัวเรา เราต้องเลือกรักษาบ้าน ยอมเสียสละ อวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต 32 ปีกับบ้านที่แสนอบอุ่น ลาก่อน เพราะรัก…จึงต้องลา”  “จากสองเก้า ถึงหกหนึ่ง ซึ้งทุกรส ได้จารจด ความทรงจำ อันล้ำค่า มีวันนี้ เพราะมี “ศิลปอาชา” ดินกลบหน้า กี่ร้อยชาติ มิอาจลืม”

 

 

ปิดตำนาน 32 ปี "เสี่ยตือ" วางมือ! ในวงการ (เมือง)

         "เสี่ยตือ" เผยว่า " ตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีคำว่าลาออก  ซึ่งหลังจากที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็เป็นคนไม่มีสถานะทางการเมืองแล้ว ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือหนาหูว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบ ตนจึงกลัวว่าถ้าตัวเองเข้าไปมีบทบาทอะไรมากจนเกินไปและทำให้คนเข้าใจผิดว่าเราไปยุ่มย่ามทั้งที่ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับพรรคชาติไทยพัฒนา จึงกลัวหลายคนจะมองแล้วเข้าใจผิดไป ไม่อยากให้พรรคเดือดร้อน ดังนั้นจึงขอไปเองดีกว่า "

 


            ทั้งนี้ "เสี่ยตือ" ยังระบุอีกว่า "ผมวางมือกลับอ่างทองไปเลี้ยงหลาน เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นปัญหาของพรรค ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้พรรคต้องมีปัญหา กลัวพรรคจะเดือดร้อน เรามันแค่สิ่งชำรุดทางการเมืองจะไปทำอะไรได้ อย่างไรก็ตามยังไม่ได้คุยกับใครในพรรคทั้งนั้น แค่รู้สึกตัวเอง ส่วนลูกชายสองคน เขาจะตัดสินใจเดินทางการเมืองอย่างไรก็ต้องแล้วแต่เขา ผมไม่ก้าวก่าย"

              สำหรับที่ผ่านมาในแวดวงการเมือง (32 ปี) ของ"เสี่ยตือ" นั้น เริ่มจากการเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี,รมช.กระทรวงศึกษาธิการ,รมว.กระทรวงศึกษาธิการ,รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ทั้งนี้เริ่มมีมีบทบาทที่โดดเด่นจากการทำหน้าที่ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เป็นธรรม เป็นกลางแก่ทุกฝ่ายมติสื่มวลชนสายรัฐสภา ให้ฉายาว่า "คนดีศรีสภา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 "เสี่ยตือ" ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีอีกครั้ง ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

ในภายหลัง ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค แต่ก็นับได้ว่า"เสี่ยตือ"เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในฐานะแกนนำกลุ่ม ส.ส. ซึ่งสื่อมวลชนให้ชื่อกลุ่มแกนนำนี้ว่า "8ส.+ส.พิเศษ"  จากนั้นในปี พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ลำดับที่ 3 ต่อมาในวันที่ 29 ก.ย.2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า "เสี่ยตือ" ร่ำรวยผิดปกติ และให้ยึดบ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ

 

จังหวัดอ่างทอง มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท หลังจากในปี พ.ศ. 2560 "เสี่ยตือ" ก็ตกเป็นข่าวอีกครั้งเนื่องจาก "นาย เอนก จงเสถียร" ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เขาแต่งตั้งเป็นบุคคลที่ถูกพาดพิงในการประกอบคำพิพากษากรณี "นาย สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ยื่นบัญชีทรัพย์สอนอันเป็นเท็จ ...