ใบ้กิน! "เครือข่ายทักษิณ" หยิบรายงาน"เหลื่อมล้ำถล่ม คสช." โดนตลบหลังเป็นข้อมูลเก่าปี 49 "ปลายยุคไทยรักไทย" ก่อนถูกเขี่ยตกเก้าอี้

ตามคาด! "เครือข่ายทักษิณ" หยิบรายงาน"เหลื่อมล้ำถล่ม คสช." โดนตลบหลังเป็นข้อมูลเก่าปี 49 "ปลายยุคไทยรักไทย" ก่อนถูกเขี่ยตกเก้าอี้

ตามคาด! "เครือข่ายทักษิณ" หยิบรายงาน"เหลื่อมล้ำถล่ม คสช." โดนตลบหลังเป็นข้อมูลเก่าปี 49 "ปลายยุคไทยรักไทย-นายใหญ่"


ไม่ผิดคาดสักนิด! สำหรับ "เครือข่ายทักษิณ" ทั้ง "นายวัฒนา เมืองสุข" แกนนำพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง "นายพิชัย นริพทะพันธุ์" อดีต รมว. พลังงานยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันต้องระเห็จไปซบ "พรรคไทยรักษาชาติ" อีกเครือข่ายหนึ่งของทักษิณ ออกมาโหนปม "ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก" แซงหน้า "รัสเซีย" และ "อินเดีย" ขึ้นไป โดยหยิบมาจากข้อมูลที่บุคคลท่านหนึ่งเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ ซึ่งก็ได้อ้างต่ออีกทอดว่า ประเด็นดังกล่าวอ้างอิงมาจาก "รายงาน Global Wealth Report 2018" ซึ่งรายงานไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่า ประเด็นที่ร้อนแรง และสร้างความเสื่อมเสียให้กับรัฐบาล คสช. เช่นนี้ ไม่มีทางที่คนของทักษิณจะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ยิ่งช่วงนี้เป็น "หน้าข้าวหน้าเหล้า" ใกล้ถึงเวลาปลดล็อกทางการเมืองเต็มที...เมื่อลูกเข้าเท้าเช่นนี้ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาต้องโหมกระพือ "ดิสเครดิต" รัฐบาล คสช.ในทุกเรื่องทุกประเด็น


นายวัฒนานั้น ถึงกลับออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก...โหนเรื่องดังกล่าวแบบเต็มตัว โดยเขาอ้างว่า รายงานของ "CS Global Wealth Report 2018" ที่บอกว่าไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นอันดับ 1 ของโลกคือหลักฐานประจานความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.

 

โดยเขายังอ้างต่อว่า 2 ปีที่แล้วไทยอยู่อันดับ 3 ของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้โดยมี "รัสเซีย" และ "อินเดีย" อยู่เหนือเรา แต่รัฐบาล คสช. ก็ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยของไทยขยายกว้างมากขึ้นจนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก 
"ผลสำรวจพบว่าเมื่อปี 2559 คนไทย 1% มีทรัพย์สินรวม 58% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ แต่ในปี 2561 คนไทย 1% กลับมีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 66.9% แปลว่ามีเศรษฐีบางรายที่รวยขึ้นมากแต่คนไทยส่วนใหญ่จนลง ฯลฯ" นายวัฒนา สาธยาย


ต่อให้ไม่หลักแหลมก็มองออกได้ไม่ยากว่า นายวัฒนานั้นจงใจแซะ คสช.ในเรื่องนี้แบบหวังผล 100 % เพราะการเขย่า คสช. ในประเด็นเศรษฐกิจปากท้องซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวของชาวบ้าน...ย่อมได้รับการขานรับจากบรรดาลูกหาบสาวกชาวแดงของเขา....รวมทั้งชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เท่าทันแน่ เมื่อบวกรวมกับการที่ "นายพิชัย" ซึ่งอ้างตัวว่าเป็น "กูรูเศรษฐกิจของระบอบทักษิณ" ออกมารับลูกเรื่องนี้ในเสี้ยววินาทีต่อมา...นั่นยิ่งชัดว่า...เรื่องนี้ไม่มีอื่น...นอกจากหวังผลทางการเมืองแบบเน้น ๆ 

 

โดยถ้อยคำที่หลุดมาจากปากนายพิชัยนั้น แทบไม่ต่างกับสิ่งที่วัฒนากล่าวไว้สักนิด โดยนายพิชัยอ้างว่า การที่ไทยแซงหน้ารัสเซีย และอินเดียขึ้นไปนั้น แสดงว่าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยแย่ลง โดยเขาสาธยายต่อแบบ "แบบเอาดีเข้าตัวโยนชั่วให้คนอื่น" ว่า "ก่อนจะรัฐประหาร อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่อันดับที่ 11 แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ฯลฯ"


อย่างที่บอกไว้แต่ต้น ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใกล้ตัว...ที่ชาวบ้านคล้อยตามได้ง่าย ยิ่งหยิบยกตัวเลข และรายงานของฝรั่งมังค่ามาประกอบยิ่งทำให้เรื่องดูน่าเชื่อถือ แต่ทว่าเอาเข้าจริง...เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว เพราะล่าสุดต่อกรณีนี้ "นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์" โฆษกรัฐบาล ได้ออกมาโต้ รายงานของ Global Wealth Report 2018" ว่า แท้ที่จริงเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2549 แล้วนำมาโยงกับข้อมูลในปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่รายงานนั้นคลาดเคลื่อน และขาดความน่าเชื่อถือ 

"จากการตรวจสอบพบว่า ข้อมูลที่รายงานฉบับนี้นำมาอ้างอิงเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2549 แล้วพยายามนำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลบางส่วนของปีปัจจุบัน ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์และขาดความน่าเชื่อถือ และแหล่งข้อมูลที่ถูกนำไปวิเคราะห์ 2 แหล่ง คือ ธนาคารแห่งประเทศไทยและองค์กรการเงินระหว่างประเทศ ก็ไม่มีส่วนใดเลยที่แสดงถึงการถือครองมูลค่าทรัพย์สินของคนรวย 1% ในประเทศไทย" โฆษกรัฐบาล ยันพร้อมระบุด้วยว่า

 

ประเทศที่ถูกนำมาเทียบส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้วในกลุ่ม OECD ยกเว้นจีน อินเดีย อินโดนีเซีย โคลัมเบีย โรมาเนีย แอฟริกาใต้ และไต้หวัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำเรื่องความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยดีขึ้นเป็นลำดับ โดยสัดส่วนรายได้ของกลุ่มคนรวยที่สุดแตกต่างจากกลุ่มคนจนที่สุด ลดลงจาก 29.92 เท่าในปี 2549 เหลือ 19.29 เท่าในปี 2560 ฯลฯ

 

ใบ้กิน! "เครือข่ายทักษิณ" หยิบรายงาน"เหลื่อมล้ำถล่ม คสช." โดนตลบหลังเป็นข้อมูลเก่าปี 49 "ปลายยุคไทยรักไทย" ก่อนถูกเขี่ยตกเก้าอี้

 


ถ้อยคำของโฆษกรัฐบาลดูจะเป็นการยันหน้า...เครือข่ายทักษิณทั้ง 2 คนข้างต้นนั่นจนหงายหลัง เพราะอย่าลืมว่าในปี 2549 ยังเป็นปีที่ "ทักษิณ" ครองอำนาจทางการเมือง และบริหารเศรษฐกิจของประเทศอยู่ ก่อนจะถูก คมช. ของ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ทำรัฐประหารไปเมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกันนี้ (2549) เหนืออื่นใดก็คือ ไม่เพียงแต่โฆษกรัฐบาลเท่านั้น...ที่ออกมาตอบโต้เครือข่ายทักษิณ และยืนยันตัวเลขปี 2549 ซึ่งเป็นที่มาของรายงานฉบับดังกล่าว


แม้แต่ "สภาพัฒน์" หรือ "สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ"  โดย "นายดนุชา พิชยนันท์" รองเลขาฯ ในฐานะโฆษกสภาพัฒน์ ก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า ขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก เพราะรายงานดังกล่าววัดจากค่าดัชนีการกระจายความมั่งคั่ง โดยต้องใช้ข้อมูลการถือครองความมั่งคั่ง โดยมีเพียงประเทศที่มีข้อมูลสมบูรณ์ 35 ประเทศ เช่น อังกฤษ สวีเดน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น ในส่วนของอีก 133 กระเทศ และประไทยที่ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลนี้

รองเลขาฯ สภาพัฒน์ ยังยืนยันว่า ข้อมูลด้านรายได้ของประเทศไทยที่ใช้ในการคำนวณใช้ข้อมูลในปี 2549 เป็นข้อมูลเก่าและสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก จึงเป็นการประมาณการแบบหยาบหยาบและไม่สามารถอ้างอิงหรือสะท้อนสถาณการณ์ของประเทศไทยได้ทั้งหมด ฯลฯ

นอกจากนี้  "รองเลขาฯ สภาพัฒน์" ยังยืนยันว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือจากปี 2550 ถึง 2560 ความเลื่อมล้ำของไทยลดลงต่อเนื่อง ฯลฯ (ก่อนจะอธิบายต่อด้วยตัวเลข "ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค หรือค่าสัมประสิทธิ์จีนี (GINI Coefficient Index) ที่ธนาคารโลกใช้ในการวัดความเหลื่อมล้ำของประเทศต่างๆ ว่าไทยลดลงจริง)


อย่างที่กล่าว การออกมาตอบโต้ "เครือข่ายทักษิณ" ของโฆษกรัฐบาล รวมทั้งการแสดงตัวเลขในเชิงวิชาการของ "รองเลขาฯ สภาพัฒน์" ดูจะทำให้คนของนายใหญ่จำต้องถอยฉากออกไป หลังเปิดประเด็นมาด้วยหัวหมู่ทะลวงฟันทั้ง 2 คน และคงจะหมายมั่นปั้นมือเอาไว้แต่แรกว่า..เรื่องนี้คงใช้บดขยี้ คสช. ได้อีกพักใหญ่ ๆ แต่ทว่าเมื่อเจอผู้รู้ทันเปิด พ.ศ.ที่ใช้เก็บข้อมูลมา ซึ่งกลับเป็นปี 2549 ซึ่งอยู่ในช่วง "นายใหญ่" ครองอำนาจ...นั่นยิ่งทำให้เห็นชัดว่า...รัฐบาลไหน...เป็นต้นกำเนิดแหล่งความเหลื่อมล้ำในประเทศนี้...เพราะอย่าลืมว่า...ทักษิณนั้น...ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2544 กระทั่งมาบรรจบกับช่วงจัดทำรายงานเมื่อปี 2549 และเขานั้น...เป็นต้นตำรับแห่งประชานิยมที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม...ที่สุดคนหนึ่งของโลก  

 

อ่าน "รัฐบาล" โต้รายงาน"Global Wealth Report 2018" ข้อมูลเก่า-ขาดความน่าเชื่อถือ ยันความเหลื่อมล้ำไทยดีขึ้น