“กำนันสุเทพ” ส่งทนายไม่รับประนีประนอม “ธาริต” ปมหมิ่นประมาทโรงพัก 396 แห่ง ยันขอฟังคำตัดสินตามเดิม

“กำนันสุเทพ” ส่งทนายไม่รับประนีประนอม “ธาริต” ปมหมิ่นประมาทโรงพัก 396 แห่ง ยันขอฟังคำตัดสินตามเดิม

 

“กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่งทนายยื่นคำร้องมาที่ศาลฎีกา ไม่รับขอขมา หรือประนีประนอมจาก “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” ปมหมิ่นประมาทเอี่ยวทุจริตโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศ ยันขอฟังคำพิพากษาตัดสินตามเดิมในวันที่ 14 ธ.ค.นี้

 

วันนี้ (12 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นของวานนี้ "นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล" โฆษกศาลยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงขั้นตอนการนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำที่ อ.495/2556 ที่ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเแกนนำกปปส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "นายธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 ว่าคดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธันวาคม ที่จะถึงนี้เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง ที่อาคารศูนย์ราชการ ถนนเเจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ 

 

โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ จะเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 ว่า ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลฎีกาหรือจะส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านก็ได้ และระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการอ่านคำพิพากษา หรือคำสั่งศาลฎีกา พ.ศ.2550 ข้อ3 (3) กำหนดให้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาได้ในคดีที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือเป็นที่สนใจของประชาชนหรือคดีอื่นใดซึ่งประธานศาลฎีกาเห็นสมควรให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลฎีกา

 

โดยคดีตามข้อ 3 (3) นี้ เมื่อสั่งออกร่างคำพิพากษาหรือคำสั่งเเล้ว หากผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา(ผู้ช่วยใหญ่) ที่สั่งออกเห็นสมควรให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาที่ศาลฎีกา ให้ทำบันทึกเสนอความเห็นผ่านรองประธานศาลฎีกาที่มีอาวุโสสูงสุดหรือผู้ที่ประธานศาลฎีกามอบหมายไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่งก็ได้ โดยคดีที่จะมีการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาที่ศาลฎีกาให้เลขานุการศาลฎีกา หรือผู้ที่เลขานุการศาลฎีกามอบหมายเป็นผู้ดำเนินการทางธุรการ

 

นอกจากนี้ โฆษกศาลยุติธรรม ระบุด้วยว่า สำหรับคดีดังกล่าวนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา นายธาริตจำเลยในคดีได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมและเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 14 ธันวาคมออกไปก่อน 60 วัน ตามเหตุผลที่นายธาริตได้เเถลงปรากฏตามสื่อมวลชน ซึ่งศาลฎีกาก็จะพิจารณาเเละมีคำสั่งต่อไป


อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าหลังจากที่นายธาริตได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนขอถอนคำให้การเดิม และเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน 60 วันนั้น ปรากฎว่าวานนี้ "นายสุเทพ" ซึ่งเป็นโจทก์ได้ส่งทนายความยื่นคำร้องมาที่ศาลฎีกาโดยคำร้องสรุปว่า ตามที่มีข่าวปรากฏตามหนังสือพิมพ์เเละสื่อต่างๆ มีข้อความปรากฏสาระสรุปว่าจำเลยในคดีนี้ได้ให้ทนายความแถลงข่าวว่าได้มีการประนีประนอมกับโจทก์และขอขมาลาโทษต่อโจทก์ พร้อมยังขอบพระคุณกับโจทก์ที่จะได้เมตตายกโทษในคดีตามที่โจทก์เห็นสมควรให้นั้น ข้อความเหล่านี้ไม่เป็นความจริง โจทก์จึงขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามที่นัดไว้ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ตามเดิม

 

สำหรับคดีนี้ นายสุเทพโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2556 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 2556 นายธาริตขณะดำรงตำเเหน่งอธิบดีดีเอสไอ แถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนกล่าวหาว่านายสุเทพ โจทก์ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการไม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำสัญญาก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 396 แห่งเป็นรายภาค ตามที่ สตช.เสนอ แต่กลับให้รวมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างเพียงรายเดียว ทำให้บริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล จนเกิดปัญหาที่ไม่สามารถก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด ซึ่งล้วนเป็นเท็จทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง

 

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 26 มี.ค. 2558 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการแถลงข่าวของจำเลยเป็นการตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงพัก และให้ความเห็นในทางกฎหมายในฐานะอธิบดีดีเอสไอ ไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำการทุจริต การแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการสรุปความคืบหน้าของคดีตามพยานหลักฐาน ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่ได้ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 2559 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง โดยเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพียงพอได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ต่อมานายสุเทพ โจทก์ได้ขออนุญาตฎีกาต่อ ซึ่งศาลฎีกาได้นัดอ่านฎีกาครั้งเเรกในวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่ศาลอาญา ซึ่งในวันดังกล่าวนายธาริตไม่ได้เดินทางมาศาลอาญาเนื่องจากมีการป่วยติดเชื้อในลำไส้ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ พร้อมแสดงใบรับรองแพทย์ต่อศาล ทั้งยังได้มอบหมายทนายยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อประธานศาลฎีกาขอให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ศาลฎีกาวินิจฉัย 


อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าว "นายสวัสดิ์ เจริญผล" ทนายโจทก์ได้คัดค้าน ขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาในวันดังกล่าว เนื่องจากไม่เชื่อว่าจำเลยป่วยจนไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ และคัดค้านพยานเอกสารที่จำเลยยื่นเพิ่มเติม เนื่องจากเอกสารที่จำเลยยื่นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการแถลงข่าวความคืบหน้าคดีก่อสร้างโรงพักของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.เป็นเรื่องที่มีอยู่เดิมในชั้นพิจารณาแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่

 

ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เอกสารถ้อยคำที่มีการยื่นเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังการพิจารณาของศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ เชื่อว่าศาลฎีกายังไม่ได้พิจารณาเอกสารดังกล่าว เอกสารทั้ง 3 ชุดที่ยื่นมานั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างโรงพักทั้ง 396 แห่ง ซึ่งเป็นมูลเหตุในการฟ้องหมิ่นประมาทในคดีนี้ จึงเห็นควรมีคำสั่งให้ส่งคำร้องของจำเลย รวมถึงถ้อยคำในเอกสารส่งขึ้นให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไป และเมื่อมีคำสั่งส่งคำร้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยป่วยจนไม่สามารถเดินทางมาศาลได้หรือไม่ จึงมีคำสั่งให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปและนัดฟังคำสั่งในวันที่ 14 ธ.ค. ที่จะถึงนี้