- 23 ธ.ค. 2561
วันนี้ 23 ธ.ค. 2561 มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เปิดเผยข้อมูลจาก "สวนดุสิตโพล" จากการสำรวจหัวข้อ 10 เรื่อง ที่ประชาชนอยากรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งส.ส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562 หลังจาก กกต.ได้มีการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง และคสช.ได้ปลดล็อคพรรคการเมือง โดยสำรวจข้อมูลจาก จากความคิดเห็นของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนทั้งสิ้น 1,149 คน ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. - 22 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา
วันนี้ 23 ธ.ค. 2561 มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เปิดเผยข้อมูลจาก "สวนดุสิตโพล" จากการสำรวจหัวข้อ 10 เรื่อง ที่ประชาชนอยากรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งส.ส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562 หลังจาก กกต.ได้มีการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง และคสช.ได้ปลดล็อคพรรคการเมือง โดยสำรวจข้อมูลจาก จากความคิดเห็นของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนทั้งสิ้น 1,149 คน ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. - 22 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา
โดยสามารถสรุปเรื่องที่ประชาชนอยากรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งและคิดเป็นร้อยละ ได้ดังต่อไปนี้
1.นโยบายของแต่ละพรรค และแนวทางปฏิบัติที่ทำได้จริง 52.74%
2.ความโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้ง การป้องกันการทุจริต ซื้อเสียง 33.68%
3.การเลือกตั้งครั้งนี้จะช่วยให้สถานการณ์บ้านเมือง และเศรษฐกิจดีขึ้นได้จริงหรือไม่ 32.55%.
4.การแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวนที่นั่ง ส.ส. มี ส.ส.จำนวนเท่าใดในเขตของตนเอง 31.59%
5.ผู้สมัครมีใครบ้าง ชื่ออะไร หมายเลขอะไร สังกัดพรรคใด ประวัติเป็นอย่างไร 26.89%
6.จะมีเลือกตั้งจริงหรือไม่ จะเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ 22.72%
7.กฎหมายเลือกตั้ง กฎระเบียบข้อบังคับที่จะต้องปฏิบัติตาม 21.50%
8.ขั้นตอนการเลือกตั้ง วิธีการลงคะแนน บัตรเลือกตั้งมีกี่ใบ มีรายละเอียดอะไรบ้าง 18.71%
9.กระบวนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ที่มาของนายกรัฐมนตรี นายกฯคนนอก 17.67%
10.พรรคเก่า พรรคใหม่ การย้ายพรรคของ ส.ส. 15.84%
เป็นที่น่าสนใจว่าสิ่งที่ประชาชนอยากรู้เป็นอันดับแรกนั้น คือความเป็นไปได้ของแต่ละนโยบายที่ต่างเข็นออกมาเพื่อให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของประชาชน สะท้อนเป็นอย่างดีถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดีแนวทางการปฏิบัติและนโยบายของแต่ละพรรคก็แตกต่างกันไป โดยหากจำแนกเป็นแต่ละพรรคที่น่าจับตามองและเป็นไฮไลท์ในขณะนี้ ประกอบไปด้วย
1.พรรคพลังประชารัฐ ความหมายของพรรค คือ พลังประชาชนร่วมกับภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศไทย ภายใต้สโลแกน "หนึ่งชุมชน หนึ่งนิติบุคคล หนึ่งธนาคาร หนึ่งศูนย์สุขภาพอนามัย" นโยบายหลักคือการสานต่อการทำงานของรัฐบาล คสช. เกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการประชารัฐ ที่ทางรัฐบาลคสช. วางรากฐานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภาคครัวเรือน ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน เพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
2.พรรคประชาธิปัตย์ โดยหลักแล้วนโยบายจะเป็นการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อาทิการออก พ.ร.บ.โฉนดชุมชน เพื่อให้สิทธิชุมชนในการจัดการตนเองและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง อีกประการคือการใช้ความสำคัญกับภาคการเกษตร เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำชุมชนให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี มีเงินทำแหล่งน้ำทุกหมู่บ้าน เป็นต้น
3.พรรครวมพลังประชาชาติไทย นโยบายหลักและหัวใจของพรรคคือประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรค จะเป็นผู้กำหนดนโยบาย แนวทางของพรรค และจะเลือกกรรมการบริหารพรรคเอง และประชาชนจะเป็นผู้กำกับควบคุมผู้ดำรงตำแหน่งของพรรคให้ปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบแบบแผน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ทางการเมือง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภายหลังการปลดล็อคพรรคการเมือง ได้มีการประชาสัมพันธ์พูดคุยกับประชาชนทุกภาคมาตลอด
4.พรรคอนาคตใหม่ ทางพรรคเคยวางกรอบนโยบายใหญ่ไว้ว่า "ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง เปิดโอกาส" แต่ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าแนวทางหลักของพรรคนั้น เป็นการต่อต้านและคัดค้านการใช้อำนาจกองทัพเป็นหลัก นโยบายภายหลังการปลดล็อคจึงให้กองทัพเป็นแกนกลาง ขณะที่นโยบายรองเป็นผลสืบเนื่องจากการลดขนาดและบทบาทกองทัพและนำงบประมาณในส่วนนี้ไปเพิ่มสวัสดิการของประชาชนแทน แน่นอนว่านำมาซึ่งคำถามถึงความเป็นไปได้จากประชาชน เพราะนอกจากจะเป็นการกระทำเพื่อลดทอนศักยภาพกองทัพแล้ว ในอีกแง่มุมหนึ่งนโยบายหลักกลับไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนโดยตรง
5.พรรคเพื่อไทย ยังคงมุ่งเน้นเสนอนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และนำเสนอว่าจะดำเนินการต่อจากนโยบายเก่าที่เคยวางฐานไว้ อย่างไรก็ตามมีความคล้ายกับ "พรรคอนาคตใหม่" บางประการคือการแสดงออกต่อต้านรัฐบาล คสช. เป็นหลักนอกจากจะมีสมาชิกพรรคที่เคลื่อนไหวสนับสนุนให้ลดขนาดกองทัพเพื่อนำงบประมาณไปจุนเจือนโยบายด้านอื่น ยังมีการแสดงออกมุ่งหวังแก้ไขปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2559 ที่มาจากมติของประชาชนส่วนใหญ่อีกด้วย
ถัดมากับความวิตกต่อความโปร่งใสที่มาเป็นอันดับสอง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทุจริตในช่วงการหาเสียงผ่านการ "ซื้อสิทธิขายเสียง" นับเป็นพฤติกรรมทุจริตของนักการเมืองที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน โดยมากจะพบว่าเป็นการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินสิ่งตอบแทนแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้ลงคะแนนหรืองดเว้นการลงคะแนนแแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดหรือพรรคการเมืองใดในเขตเลือกตั้งนั้น อย่างไรก็ดีวิธีการนั้นอาจแตกต่างไปตามแต่ละภูมิภาคและท้องถิ่นขึ้นอยู่กับว่าประชาชนในพื้นที่ต้องการสิ่งใดมาตอบสนองความต้องการของตน แต่ผลสะท้อนที่เลวร้ายที่สุดคือทำให้เกิดการผูกขาดคะแนนเสียงในแต่ละพื้นที่ ดังที่ปรากฏในอดีต
ถัดนั้นเป็นความกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมือง เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความขัดแย้งในสังคมส่วนหนึ่งมาจากสภาพการเมือง ก่อกลายเป็นเจตคติที่รุนแรงของหลากกลุ่มก้อน หลายฝักฝ่าย อีกประการหนึ่งคือปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องจับตามองต่อไปว่า นโยบายหลักของแต่ละพรรคการเมืองที่ชูธงว่าจะแก้ปัญหาให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าสัดส่วนผสมนั้น มีความซับซ้อนพอสมควรอีกทั้งมาแทนที่ระบบเดิมรวมถึงกฏหมายการเลือกตั้ง ที่ทำให้เกิดความวิตกนำไปสู่คำถามข้อ 7-10 ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องถ่ายทอดให้ประชาชนรับรู้อย่างถ่องแท้ถึงรายละเอียด เพราะการเลือกตั้งรูปแบบใหม่นี้จะช่วยไม่ให้เกิดการผูกขาดด้านฐานเสียง และยังช่วยให้กระจายโอกาสมีความ "สูสี" ในการแข่งข้นของแต่ละพรรคอย่างยุติธรรม
ขอบคุณ สวนดุสิตโพล