ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

หากนายทักษิณอยากกลับประเทศไทยก็ควรกลับไม่สู้คดี แสดงความกล้าหาญ ยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง หรือเป็นความขี้ขลาดจึงทำให้นายทักษิณไม่กล้ากลับไทย

กลับมาอีกครั้งกับกระแสการพา “ทักษิณ ชินวัตร” กลับไทย  จากการกระพือของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ในฐานะกองเชียร์คนสำคัญพรรคเพื่อชาติ หนึ่งในคนสนิทของนายทักษิณ หลังจากออกมาเปิดเผยตอนหนึ่งว่า..

 

"เราได้พยายามให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย 3 ครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงขอโอกาสครั้งนี้ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่ 4 หากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อชาติ”

 

ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

เรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเป็นอย่างมา ร้อนถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่7ม.ค.62   ยืนยันว่าตนเองไม่เคยห้ามและต้องการให้กลับมาตลอด แต่ต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย เพราะนายทักษิณเป็นคนไทย

 

อย่างไรก็ตามอาจด้วยเพราะกระแสตีกลับ หรือเพราะคำกล่าวของ พล.อ.ประวิตร ต่อมาทางพรรคเพื่อชาติ ถึงกับออกมาปัดประเด็นให้เป็นอื่น ด้วยคำกล่าวว่า “ทางพรรคขอยืนยันถึงเรื่องที่นายยงยุทธพูด ว่าไม่ได้เจาะจงหมายถึงการช่วยเหลืออดีตนายกฯ คุณทักษิณ กลับไทย แต่พรรคมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนทุกคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคุณทักษิณเอง ก็เป็นหนึ่งนั้น และขอยืนยันว่าที่กล่าวเป็นเพียงบรรยากาศ มิได้เป็นหลักปฏิบัติเชิงนโยบายแต่อย่างใด”

 

ต่อมาได้มีความเคลื่อนไหวจากทางนายยงยุทธอีกครั้ง ในทำนองโยนหิน เรียกร้องเปิดโต๊ะเจรจาหว่างคสช.กับนายทักษิณ อ้างเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศ

 

ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

ล่าสุด8 ม.ค.62  พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงข้อเสนอว่า จะเจรจาเรื่องอะไร “ทำตามกระบวนการยุติธรรมก็จบแล้ว ไม่มีต่อรอง ต่อรองได้ยังไง เป็นเรื่องของศาล ของกระบวนการยุติธรรม ใครจะไปทำอะไรได้ “ ผู้สื่อข่าวถามว่า คสช.ช่วยอะไรไม่ได้ใช่หรือไม่ พล.อ ประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้

 

ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

 

ขณะที่พล.อ ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคสช.ไม่ตอบคำถาม เกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว ได้แต่ส่ายหน้าหลังจากที่ถูกผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอดังกล่าว

 

หากพิจารณาข้อเท็จจริง คือ นายทักษิณ เลือกวิถีเยี่ยง “คนขลาด” เป็นฝ่ายหนีออกนอกประเทศไปเอง โดยน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ จากการกระทำของตนในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก  ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาโดยก่อนวันนัดฟังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพียงไม่กี่วัน นายทักษิณและคุณหญิงพจมาน ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลในการขออนุญาตศาลฯว่าจะเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีนและญี่ปุ่น ระบุวันเดินทางระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 10 สิงหาคม 2551

 

ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

 

ในรายละเอียดคุณหญิงพจมาน ให้เหตุผลขอเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีน ระหว่างในวันที่ 5-10 สิงหาคม 2551 และเมื่อถึงวันนัดให้ไปรายงานตัวต่อศาลวันที่ 11 สิงหาคม 2551  ทั้งสองคน ไม่มารายงานตัวต่อศาล

 

นายทักษิณ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง  ไม่พอ แต่กลับเขียน  จดหมายด้วยลายมือตัวเองส่งโทรสารถึงสถานีโทรทัศน์ NBT  ให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมไทย โดยอ้างเหตุผลที่ไม่เดินทางกลับมายังประเทศไทยเพื่อรายงานตัวต่อศาล เนื่องจากไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เพราะเชื่อว่าถูกแทรกแซงจากฝ่ายที่เห็นเป็นศัตรูทางการเมือง และ ที่ผ่านมายังรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศขณะนี้

 

นับจากนั้นนายทักษิณก็ไม่เคยกลับมาเหยีบแผ่นดินไทยอีกเลย แต่กลับวนเวียนอยู่รอบประเทศเฉียดแผ่นดินไทย กล่าวหาให้ร้ายโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยต่อชาวโลกอยู่บ่อยครั้ง

อันที่จริง..จะว่าไปแล้วก็ไม่มีใครสั่งห้ามไม่ให้นายทักษิณกลับประเทศไทยแต่อย่างใด แต่ที่นายทักษิณไม่ยอมกลับมานั้น เป็นเพราะชะงักติดหลังบานตะไท

 

หลังจาก พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.60 ด้วยกฎหมายใหม่ โดยพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 27 ระบุว่า ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามาศาลในวันฟ้องคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลและอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้เคยมีการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาแล้วแต่ยังไม่ได้ตัวมา หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลเกิดจากการประวิงคดี หรือไม่มาศาลตามนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล

 

มาตรา 28 ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามมาตรา 27 และศาลได้ส่งหมายเรียกและสําเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับจําเลยและให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผลการติดตามจับกุมเป็นระยะตามที่ศาลกําหนด

 

ในกรณีที่ได้ออกหมายจับจําเลยและได้มีการดําเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอํานาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทําต่อหน้าจําเลยแต่ไม่ตัดสิทธิจําเลยที่จะตั้งทนายความมาดําเนินการแทนตนได้

 

บทบัญญัติมาตรานี้ไม่เป็นการตัดสิทธิจําเลยที่จะมาศาลเพื่อต่อสู้คดีในเวลาใดก่อนที่ศาลจะมีคําพิพากษา แต่การมาศาลดังกล่าวไม่มีผลให้การไต่สวนและการดําเนินกระบวนพิจารณาที่ได้ทําไปแล้วต้องเสียไป

 

อีกทั้งในบทเฉพาะกาลมาตรา 69 ของกฎหมายใหม่ได้ระบุไว้ว่าการดำเนินการใดที่เกิดขึ้นมาโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายเก่าแล้วนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ให้พิจารณาต่อไปตามกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้ ความเห็นส่วนตัวจึงเห็นว่าคดีดังกล่าวสามารถรื้อฟื้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งอัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. ได้ปัดฝุ่น“คดีทักษิณ” ที่ค้างอยู่มาพิจารณาอีกครั้ง

 

ไม่มีใครไม่ให้กลับ!! "ทักษิณ"บริสุทธิ์จริง..กลับไทยมาเลย หรือว่าขี้ขลาด จึงต้องเร่ร่อนอยู่เช่นนี้!?

 

1. คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือกฤษฎามหานครกว่า 9,000 ล้านบาท (คดีกรุงไทย) คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกาฯ) นัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 20 มิถุนายน 2561

2. คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า 4,000 ล้านบาทเพื่อซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทเครือชินคอร์ป (คดีเอ็กซิมแบงก์) โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาฯนัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 4 กรกฎาคม 2561

3. คดีแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่น ล้านบาท อัยการสูงสุดโจทก์ ศาลฎีกาฯ นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 10 กรกฎาคม 256

4. คดีโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ขัดต่อพ.ร.บ. สลากกินแบ่งรัฐบาล และ พ.ร.บ.เงินคงคลัง ทำให้รัฐ เสียหาย 14,862 ล้านบาท (คดีหวยบนดิน) ซึ่งคตส.เป็นโจทก์ ป.ป.ช. เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาครั้งแรกวันที่ 25 กรกฎาคม 2561

 

ที่ผ่านมา นายทักษิณได้เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองมาตลอด แต่ไม่เคยที่จะคิดกลับมาสู้..คดีมิหนำซ้ำยังเคลื่อนไหวโจมตีให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทยอยู่เป็นอาจิณดังนั้นหากนายทักษิณอยากกลับประเทศไทยก็ควรกลับไม่สู้คดี แสดงความกล้าหาญ ยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง หรือเป็นความขี้ขลาดจึงทำให้นายทักษิณไม่กล้ากลับไทย