"ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" ยังไม่ทันกระไร ก็ซัดกันเละ!

ศึกหาเสียง คุณหญิงสุดารัตน์ และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ วิวาทะกรณี กระเป๋าตุง กระเป๋าแฟบ จนประชาชนมองเป็นเรื่องน่ารังเกียจ

ประเด็นที่กลายมาเป็นวาทะในการตอบโต้กันไปมาสำหรับการลงพื้นที่ในการหาเสียงช่วงนี้คงเป็นศึกระหว่าง "คุณหญิงสุดารัตน์" และ "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" กับกรณี กระเป๋าตุงและ กระเป๋าแฟบ ทั้งนี้หากย้อนดูพฤติกรรมของนักการเมือง ที่ประชาชนอาจจะมองได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวและมากกว่าประชาชนและความเสียหายของประเทศชาติ 

 

หญิงหน่อยหาเสียง

 

เป็นประเด็นดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการลงพื้นที่หาเสียงของ "คุณหญิงสุดารัตน์" ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2562 ที่ศาลาอเนกประสงค์ประชาร่วมใจ บ้านกอก หมู่ 5 ต.บ้านกอก อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ บอกด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เลือกเพราะรักใคร ประชาชนต้องเลือกเพราะรักตัวเอง พร้อมชูสโลแกน “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ”

 


และกล่าวด้วยว่า  "พรรคเพื่อไทยเชื่อว่า คงไม่มีใครอยากเป็นคนจน ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราอยากยืนอยู่ได้บนลำแข่งตนเอง ซึ่งการจะออกจากความทุกข์นี้ได้ คือวันเลือกตั้ง ลุงยังไม่บอกว่าวันไหน แต่เราจะอดทน เลือกวันไหนก็วันนั้น เลือกตั้งครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ต้องเลือกให้ท่วม 250 จึงจะชนะ เพราะเขาใช้อำนาจที่ยิ่งใหญ่เขียนกติกาที่เอารัดเอาเปรียบ มีคะแนนส.ว. 250 อยู่ในมือแล้ว แต่ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจของประชาชน" 

 


วันที่ 14 ม.ค.62  ที่หอประชุมสมาคมชาวไร่อ้อย ลำมูลบน ต.จระเข้หิน อ.ครบุรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยหาเสียงช่วย นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่กล่าวว่า "อยู่พรรคเพื่อไทยกระเป๋าตุงอยู่กับลุงตู่กระเป๋าแฟบ" โดยระบุว่า เรื่องนี้ขอถาม คุณหญิงสุดารัตน์ว่า ใครกันแน่ที่กระเป๋าตุงให้ไปถาม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรรคเพื่อไทย ดู

 

ส่วนการมาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ที่ว่ากระเป๋าแฟบ ให้ดูที่ราคาพืชผลทางการเกษตร ตอนนี้ราคาข้าวพุ่งสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และชาวนายังได้ค่าเกี่ยวข้าวไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกิน 12 ไร่ รวมแล้วรัฐให้ค่าเกี่ยวข้าวครัวเรือนละ 18,000 บาท นอกจากนี้ ลุงตู่ยังให้บัตรสวัสดิการประชารัฐแก่ชาวบ้าน จนทำให้ประชาชนกระเป๋าตุง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ยุคลุงตู่ชาวนากระเป๋าตุงจริงผิดกับสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชาวนากระเป๋าแฟบ แต่คนที่กระเป๋าตุงคือนายทุนและนักการเมืองผู้มีอำนาจบางคน ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

บิ๊กตู่

หลังจากที่ "สุริยะ" ออกมาระบุว่า "ยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนกระเป๋าตุงมากกว่ายุคน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี"  ซึ่งเป็นการตอบโต้กันโดยทันทีทันควัน ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ว่า  “อยากให้นายสุริยะ เดินลงมาจากเวทีปราศรัยแล้วไปถามชาวบ้านที่เกณฑ์มานั่งฟังว่ากระเป๋าตุงแน่หรือ หรือตุงเฉพาะช่วงที่มีเครื่องตรวจวัตถุซีทีเอ็กซ์ อย่าคิดว่า ทุกคนจะกระเป๋าตุงเหมือนนายสุริยะ” 

 

สุริยะ

 


นี่เป็นพฤติกรรมของบรรดานักการเมืองที่ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน กลุ่มไหน เมื่อใกล้วันเลือกตั้งก็ล้วนแล้วแต่จะหาเสียงเพื่อพรรคของตัวเอง  หรือบางครั้งก็เอานโยบายต่างๆ มาขายฝัน  เพื่อพี่น้องประชาชนเลือกพรรคตัวเองเข้ามาบริหารประเทศ และสุดท้ายแล้วเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ก็มักจะโกงกินจนผลประโยชน์นั้นไม่ได้ตกอยู่กับพี่น้องประชาชน  ซึ่งพฤติกรรมที่จะได้กล่าวถึงล้วนมาจากพรรคเพื่อไทย และ พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ “ชินวัตร”
 

เพราะฉะนั้นแล้วหากย้อนกลับไปดูว่า สิ่งที่ "คุณหญิงสุดรัตน์" และ "สุริยะ" ได้พูดเอาไว้ เรื่องราคาข้าว สมัยยุค "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี  หากดูกันที่เรื่อง "ข้าว" ที่เป็น "สินค้าการเมือง" เนื่องจากนโยบายเกี่ยวกับข้าวนอกจากจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล เห็นได้จากการเลือกตั้งในปี 2554 ซึ่งพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้นโยบายจำนำข้าวมาหาเสียง จนโดนใจชาวนา กับนโยบาย "รับจำนำข้าวทุกเมล็ด - ไม่มีโควต้า" "ตันละ 15,000 บาท" ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้นถึง 50% ที่แม้สร้างคะแนนจากชาวนาอย่างสูง จากการได้รับเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ด้านหนึ่งก็สร้างภาระต่องบประมาณมากหมายมหาศาล  และกลายเป็นคดีความในที่สุดและเกิด กรณีปัญหาคอร์รัปชั่นในโครงการจำนำข้าว

 

หญิงปู

 

โดยคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.25/2558 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยคดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 1, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 2 กับพวกรวม 28 คน โดยจำเลยได้ร่วมกันขายข้าวให้กับบริษัทกวางตุ้ง กับบริษัทห่ายหนาน ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีนรวม 4 สัญญา ปริมาณข้าว รวม 6.56 ล้านตัน ในระดับราคาที่ต่ำกว่าตลาด ไม่ให้มีการ แข่งขันราคา

 

ทั้งยังมีการเปิดเงื่อนไขให้สามารถซื้อเพื่อไปใช้ ส่งออกให้กับประเทศที่ 3 ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชน ผู้รับมอบอำนาจนำข้าวดังกล่าวไปขายต่อให้กับผู้ประกอบการในประเทศ โดยให้ซื้อขายเป็นแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายให้กรม การค้าต่างประเทศ และอ้างว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการขายระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ G to G แต่ไม่มีการส่งออกจริง ซึ่งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

 

ศาลมีคำสั่งพิพากษาจำคุกนายภูมิ สาระผล จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 36 ปี, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 42 ปี, นายมนัส สร้อยพลอย 40 ปี, นายทิฆัมพร นาทวรทัต 32 ปี และนายอัครพงศ์ ทีปวัชระ 24 ปี พร้อมทั้งสั่งให้บริษัทสยามอินดิก้า ซึ่งมีนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร และนายนิมล หรือ โจ ร่วมกันชดเชยค่าเสียหายแก่กระทรวงการคลังเป็นจำนวนเงิน 16,912.1 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5% ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นไม่มา ฟังคำพิพากษาศาลในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 500,000 ล้านบาทนั้น ศาลได้ออกหมายจับ

 

นายภูมิ สาระผล

 


 

ทั้งหมดคือสาระสำคัญของคดีดังกล่าวซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีมูลค่าความเสียหายมหาศาล  ทั้งนี้หากได้ย้อนกลับไปพิจารณาจากการ์ตูนแอนนิเมชั่น เรื่องการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ก็จะพบว่าขั้นตอนสุดท้าย หรือว่าจุดหมายปลายทางของข้าว นำเอามาขายให้กับโรงสีและบริษัทค้าข้าวในประเทศ  .. นอกจากนี้ ประเด็นที่ “สุริยะ” พูดถึง “คุณหญิงสุดารัตน์” เรามาต่อกันที่กรณีที่ คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุเรื่อง เครื่องตรวจวัตถุซีทีเอ็กซ์ อย่าคิดว่า ทุกคนจะกระเป๋าตุงเหมือน “สุริยะ”  

 

ทั้งนี้ "นาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ"  อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรและเลขาธิการพรรคไทยรักไทย  ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2548 สุริยะ ชี้แจงการจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตรวจสัมภาระ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งที่สูงกว่าทุน 2,800 ล้านบาท โดยบริษัทอินวิชั่นผู้ขาย ระบุมีราคาต้นทุนแค่ 1,400 ล้านบาท แต่กลับจัดซื้อในวงเงินถึง 4,300 ล้านบาท รวมทั้งระบุไม่พบเจ้าหน้าที่ทุจริต ในการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ของสนามบินคดีซีทีเอ็กซ์ โดยเป็นผลสืบเนื่องจากตั้งแต่ปี 2546 บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) ได้ทำสัญญาว่าจ้างกลุ่มบริษัทร่วมทุนไอทีโอ

 

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 

จัดสร้างสนามบินสุวรรณภูมิแบบจ้างเหมาเบ็ดเสร็จครอบคลุมงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบิน ระบบสายพานลำเลียงและจำแนกกระเป๋าและสัมภาระแบบธรรมดา ครั้นเมื่อเกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นในสหรัฐฯ จึงมีการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยในการตรวจสอบกระเป๋าและสัมภาระทั้งระบบ บทม.จึงเจรจากับไอทีโอขอเพิ่มเติมสัญญา แต่ไอทีโอมีขีดจำกัดจึงขอซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์จากบริษัทอินวิชั่นฯ แต่ทางอินวิชั่นฯ ขอให้ไอทีโอติดต่อซื้อจากตัวแทนจำหน่ายในไทยคือ บริษัทแพทริออทฯ แทน 


ในระหว่างที่มีการติดต่อซื้อขายเครื่องซีทีเอ็กซ์อิรุงตุงนังกันอยู่นั้น ปรากฏว่า กระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ และคณะกรรมการกำกับและตรวจสอบตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐฯ ตรวจสอบพบว่า อินวิชั่นกระทำผิดด้วยการร่วมเห็นชอบและรับรู้เพื่อให้ตัวแทนในไทยติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมืองเพื่อให้จัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว เอสอีซี ลงโทษอินวิชั่นโดยไม่ดำเนินคดีแต่ลงโทษปรับเป็นเงิน 800,000 ดอลล่าห์สหรัฐฯ หรือประมาณ 32 ล้านบาท ฐานทำผิดกฎหมายว่าด้วยการคอร์รัปชั่นข้ามชาติและทำผิดกฎหมายเอสอีซี และในช่วงปลายเดือนเมษายน 2548 "นายสุริยะ" ชี้แจงการจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตรวจสัมภาระ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งที่สูงกว่าทุน 2,800 ล้านบาท

 

นายทักษิณ

 

โดยบริษัทอินวิชั่นผู้ขาย ระบุมีราคาต้นทุนแค่ 1,400 ล้านบาท แต่กลับจัดซื้อในวงเงินถึง 4,300 ล้านบาท รวมทั้งระบุไม่พบเจ้าหน้าที่ทุจริต ในการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดของสนามบิน ข้อกล่าวหาต่างๆเป็นอันตกไปเมื่อป.ป.ช. มีมติยกคำร้องเมื่อ 28 สิงหาคม 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ไม่ว่าจะเป็น คดีรับจำข้าวหรือ  คดีเครื่องซีทีเอ็กซ์ สิ่งหนึ่งที่สำท้อนได้ตือนี่คือผลของนักการเมือง ที่ทั้งสองคดีมักมีผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ เข้าไปเกี่ยวพัน แต่ 2 กรณีชัดเจนคดีหนี่งมีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญา มีการลงโทษผู้กระทำผิด แต่อีกคดีหนึ่งปปช.มีคำวินิจฉัยยกคำร้อง  ... 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 
- ชาวนากระเป๋าแฟบยุคยิ่งลักษณ์! "สุริยะ-พปชร." ตอกกลับ "หญิงหน่อย"จ่อเพิ่มเงินสดบัตรคนจน พร้อมแจกเพิ่มคนละ 2 ใบ!
- ไม่ได้มาเล่นๆ “หญิงหน่อย” งัดไม้เด็ดควงลูกสาวคนสวยลงพื้นที่ฟังปัญหาปากท้อง หวังเรียกคะแนนนิยม