หรือ"ทักษิณ"จะหมดบารมีแล้ว?  ฮุนเซ็นสั่งยกเลิกพาสปอร์ตต่างชาติทั้งหมด หลัง"ยิ่งลักษณ์"ถูกแฉใช้พาสปอร์ต นั่่งCEOท่าเรือจีน

ฮุนเซ็น สั่งถอดพาสปอร์ตต่างชาติ ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังนั่งเก้าอี้CEOท่าเรือจีน เกิดคำถาม ทักษิณ อาจหมดบารมีแล้วหรือ?

ยังเป็นคำถามที่สร้างคลางแคลงใจให้กับสังคมอยู่ไม่หาย สำหรับประเด็นสงสัยของกรณี การถือพาสปอร์ตประเทศกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากการเปิดเผยของสื่อฮ่องกง อย่าง “เว็บไซต์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์” ได้เปิดข้อมูล หลักฐานเส้นทางการเข้าไปนั่งเก้าอี้ CEO บริษัท ซัวเถา คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล จำกัด

 

ปู-แม้ว

 

โดยมีการเปิดเผยภาพหลักฐาน ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทธุรกิจที่ฮ่องกง  พร้อมระบุชื่อตนเองเป็นกรรมการบริหารแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท P.T. Corporation Company เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 หรือประมาณ 1 ปี  หลังจากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทย ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ทางการกัมพูชายืนยันมาตลอดว่าไม่ได้ออกเอกสารการเดินทางให้กับอดีตผู้นำหญิงของไทย

เรื่องนี้แม้จะเกิดขึ้นที่ จีนแผ่นดินใหญ่ แต่ได้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงไทย ร้อนถึงกัมพูชา จนกระทั่งในเวลาต่อมาเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ของกัมพูชา รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้รัฐบาลกัมพูชา ขอปฏิเสธว่าไม่ได้ผู้ออกหนังสือเดินให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

 

ไม่เท่านั้นพนมเปญโพสต์ ยังระบุว่าเรื่องนี้มีการสอบถามไปยัง พลเอก เหมา จันดารา อธิบดีกรมทะเบียนราษฎร สังกัดกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชาในขณะนั้นอีกด้วย และได้รับคำตอบว่า กัมพูชาไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนังสือดังกล่าวอาจจะเป็นของปลอมหรือไม่ เพราะหน่วยงานของตนไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้กับชาวต่างชาติที่ขัดกับกฎหมายของประเทศ ซึ่งการออกพาสปอร์ตให้คนต่างชาติ จะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้รับสัญชาติกัมพูชาแล้ว และผ่านการตราพระราชกฤษฎีกา ที่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ทรงลงพระปรมาภิไธย เท่านั้น

 

นอกจากนั้น พลเอกเหมา จันดารา ยังตั้งคำถามว่า ในโลกใบนี้ มีใครไม่ทราบบ้าง ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคนไทย ดังนั้นการถือหนังสือเดินทางของกัมพูชาไปจดทะเบียนบริษัทจึงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับข่าวชิ้นดังกล่าวนี้

 

ประเด็นสำคัญก็คือเรื่องนี้ถ้ามีการขยายความก็อาจจะส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทย-กัมพูชา จึงถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากทีเนื่องจากสถานะของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นเป็น “นักโทษหนีคดีทุจริต” ซึ่งประเทศทั่วโลกต่อต้าน ต้องย้ำว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองแต่อย่างใด และแม้ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ล่าสุดมีรายงานว่า ทางกัมพูชาได้ โดยนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน มีคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางที่ออกให้ชาวต่างชาติทั้งหมดแล้ว

 

รายงานในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ออกจดหมายความยาว 2 หน้ากระดาษเมื่อวันพุธที่แล้ว สั่งการถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการออกหนังสือเดินทางทูตแก่ชาวต่างชาติ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการเมืองและสถาบันของรัฐบาล ให้เก็บคืนหนังสือเดินทางทูตที่ออกแก่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชา แล้วให้ส่งคืนกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศภายในเวลา 1 เดือน เพื่อยกเลิกหนังสือเดินทางทูตเหล่านี้

 

หนังสือซึ่งพนมเปญโพสต์ได้รับเมื่อวันเสาร์ (12 ม.ค.)ที่ผ่านมา กล่าวว่า ชาวต่างชาติบางคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและสถาบันของรัฐ ได้กลายเป็นคนสัญชาติกัมพูชาและได้ขอหนังสือเดินทางทูต แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หนังสือเดินทางทูตถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในกฤษฎีกาย่อยปี 2551 รัฐบาลจึงสั่งห้ามออกหนังสือเดินทางทูตกัมพูชาแก่ผู้ที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชา เว้นแต่ว่าจะเป็น "กรณีจำเป็นที่สุด"

 

อย่างไรก็ตามคำสั่งที่ลงนามโดยนายกฯ ฮุน เซน กล่าวด้วยว่า ภายหลังกระทรวงและสถาบันทั้งหลายที่ออกหนังสือเดินทางทูตแก่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิด ทุกส่วนต้องเรียกคืนพาสปอร์ตเหล่านี้และส่งให้กระทรวงการต่างประเทศ ภายในเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ลงนามคำสั่งนี้แล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบและยกเลิกหนังสือเดินทางที่ได้ออกไปแล้วขณะเดียวกัน คำสั่งนี้ยังสั่งโดยตรงถึงกระทรวงมหาดไทยให้ป้องกันการนำพาสปอร์ตทูตในการเดินทางเข้าและออกจากกัมพูชาด้วย

 

นอกจากนี้พนมเปญโพสต์ ยังอ้างถึงคำพูดของ นายเกต โสพัน (Ket Sophann) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (13ม.ค.) ระบุว่า กระทรวงได้ร้องขอให้นายกฯ ฮุน เซน ออกคำสั่งนี้ถึงกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เรียกเก็บพาสปอร์ตที่ออกให้ที่ปรึกษาและผู้ช่วยที่เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชาแล้วส่งคืนภายใน 1 เดือน แต่เขาปฏิเสธจะอธิบายว่า รัฐบาลจะดำเนินการเช่นใดกับชาวต่างชาติที่ยังคงนำพาสปอร์ตแบบนี้ไปใช้งาน

 

นอกจากนี้สื่อใหญ่ของกัมพูชายังอ้างอิงด้วยว่า คำสั่งนี้มีออกมาไล่หลังรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์จากฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่หลบหนีโทษจำคุก 5 ปี คดีรับจำนำข้าวที่ทำให้ไทยสูญเงินไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ได้ใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการยื่นจดทะเบียนเป็นผู้อำนวยการบริษัทแห่งหนึ่งในฮ่องกงเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่รัฐบาลกัมพูชายังคงยืนกรานปฏิเสธว่า กัมพูชาไม่ได้ออกพาสปอร์ตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่สื่อบางสำนักรายงานว่าใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการหลบหนีออกนอกประเทศก่อนคำพิพากษาจำคุกเมื่อปี 2560

 

ด้านพัต โสพานิต โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า กระทรวงไม่ได้ควบคุมดูแลการออกหนังสือเดินทางทูต ออกแต่เพียงหนังสือเดินทางปกติ ฉะนั้นจึงไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดว่ามีการออกหนังสือเดินทางทูตไปกี่ฉบับ แต่กระทรวงต่างประเทศจะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี

 

ทางด้าน คิน เพีย ผู้อำนวยการใหญ่ของสถาบันวิเทศสัมพันธ์ ของราชบัณฑิตยสภากัมพูชา กล่าวว่า คำสั่งฉบับนี้อาจเกี่ยวโยงกับรายงานข่าวเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือเป็นเรื่องของกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเดินทางทูต แต่เมื่อรัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธรายงานของสื่อเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปแล้ว กัมพูชาจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ หากรัฐบาลไทยไม่ได้ร้องขอความร่วมมือเกี่ยวกับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

 

"ผมคิดว่าการปฏิเสธของกระทรวงนั้นเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องสอบสวน หากเรื่องนี้ไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย"

 

อย่างไรก็ตามจากการที่ “พนมเปญโพสต์” ได้รายงานและคาดการณ์เอาไว้เบื้องต้น ว่าคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้น   โดยมีการคาดโยงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทท่าเรือจีน   ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะที่มาครอบครัวชินวัตร  มีความสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศกัมพูชา “สมเด็จฮุน เซน” นายกรัฐมนตรี ในระดับไม่ธรรมดา.. ถึงขนาดที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง ให้นาย ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำคณะรัฐบาลกัมพูชาเลยทีเดียว

 

ทักษิณ

 

ย้อนกลับไปในเดือน พ.ย. 2552 สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา ได้เปิดบ้านพักในกรุงพนมเปญต้อนรับ นายทักษิณ ซึ่งในวันนั้น สื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์ท้องถิ่นได้เผยแพร่ภาพ นาทีที่ฮุนเซนกับทักษิณสวมกอดกันกลม พร้อมคำบรรยายว่าผู้นำกัมพูชายกให้นายทักษิณ เป็นเหมือน "เพื่อนตาย" พร้อมยืนยันไม่ส่งตัว นายทักษิณ ให้ทางการไทยเป็นอันขาด

 

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2553   มีรายงานข่าวจาก หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์  อ้างคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน แห่งกัมพูชา  ระหว่างร่วมพิธีมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยพนมเปญ ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของไทยไม่ใช่สินค้า ที่ใครจะใช้ส่งต่อจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง  พร้อมกันนี้ยังระบุไปถึงขั้นว่า อดีตนายกฯทักษิณ ไม่ใช่สินค้าสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยนทางการทูตหรือทางการเมือง ส่วนเจ้าตัวและอดีตนายกฯของไทยยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนใจ สมเด็จฮุนเซนได้อนุญาตให้นายทักษิณใช้พื้นที่ของกัมพูชา ในการพบปะเปิดปราศรัยกับคนเสื้อแดง  ที่ข้ามไปจากด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ถึง2ครั้ง  เมื่อเดือน ธ.ค. 52 และ เม.ย. 55

 

ไม่เพียงคำพูดเท่านั้น หากแต่ยังปรากฏภาพตอกย้ำความสัมพันธ์ด้วย นั่นคือภาพกอดกันระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายทักษิณ ขณะที่นายทักษิณ ได้เคยโพสต์ข้อความไว้ในทวิตเตอร์ ถึงกรณีสมเด็จฮุน เซน แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาลด้านเศรษฐกิจ กัมพูชาโดยขอบคุณสมเด็จฮุนเซนด้วย

 

ไม่เพียงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังพบความสัมพันธ์ทางครอบครัวด้วยนั่นคือ เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2556  ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสอย่างยิ่งใหญ่ระหว่าง น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเชอรี่  บุตรสาวคนเล็กของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  กับนายลินัล นัม เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชา บุตรชายของมาดามอ้วน วันลี กับนายเลียง นัม นักการเมืองชื่อดัง ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมงคลสมรส ก่อนทั้งคู่จะกลับกัมพูชาไปฉลองมงคลสมรสในวันที่ 25 พ.ค.

 

ขณะที่เมื่อคราวน.ส.ยิ่งลักษณ์  ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีหนังสือแสดงความยินดีจากสมเด็จฮุนเซน  ต่อมาสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงพนมเปญว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ปี  2554   น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา  โดยนายกอย กวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา  เปิดเผยว่า การเดินทางเยือนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งนี้  เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และความร่วมมือในทุกด้านระหว่างไทยกับกัมพูชา และเอเอฟพี  ยังรายงานอีกว่า  การเดินทางเยือนกรุงพนมเปญกำหนด 1 วัน ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีขึ้น 1 วันก่อนที่พี่ชายคือ นายทักษิณ จะเดินทางเยือนกัมพูชาในช่วงวันที่ 16-24 ก.ย. 2554  จนเกิดกระทั่งเกิดเหตุการณ์หลบหนีออกนอกประเทศ ผ่านทางช่องชายแดนไทย-กัมพูชา

 

ยิ่งลักษณ์ - ฮุนเซ็น

 

นี่เป็นเพียงบางส่วนของสายสัมพันธ์ ตระกูลชินวัตร- สมเด็จฮุนเซน เท่านั้น จึงชวนให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า ในเมื่อมีความสนิทชิดเชือเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้ แต่ด้วยสาเหตุอะไรจึงมีการออกคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางที่ออกให้ชาวต่างชาติทั้งหมดด้วยความเร่งด่วนขนาดนี้  หรือว่าวันนี้ มนต์บารมีนายทักษิณ จะเสื่อมถอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ?

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เจ้าแม่ซัวเถา “ยิ่งลักษณ์” CEO ที่อายุงานน้อยที่สุด?
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ทันได้โชว์ฝืมือ !! หึ่ง"ยิ่งลักษณ์" หลุดCEO ท่าเรือซัวเถา ..อยู่ไม่ถึงเดือน!