ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

บทความพิเศษจาก ดร. สุวินัย ภรณวลัย และ ดร.เวทิน ชาติกุล ถึงเรื่องทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง

(บทความพิเศษ) : 'สุวินัย ภรณวลัย' และ 'ดร.เวทิน ชาติกุล'

2-3​ ร้อยปีที่ผ่านมา​ มนุษย์พัฒนา​ "story" ที่วางอยู่บนฐานคิดแบบ​ "ตัวกูเป็นศูนย์กลางจักรวาล" หรือ​ ศัพท์หรูในแบบวิชาการว่า "มนุษยนิยม"  ทุนนิยม, สังคมนิยม, ประชาธิปไตย,​สิทธิ, เสรีภาพ, วิทยาศาสตร์, ศิลปะ,พหุนิยม, สตรีนิยม, ชุมชนนิยม​ ฯลฯ​ 

ทั้งหมดนี้คือ​ "Story" ที่ถูกตอกย้ำ​ ซ้ำแล้วซ้ำอีก​ โดยเราถูกทำให้เชื่อในความคิดของการให้ความสำคัญ​กับ "ตัวตน" ของแต่ละปัจเจกบุคคล​ในฐานะ​เป็นผู้มีอำนาจในการเลือก​หรือผู้ตัดสินใจต่อเรื่องใดๆก็ตาม​ ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว​หรือเรื่องสังคมส่วนรวม

 

ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

นี่คือฐานคิดแบบลิเบอรัล ที่กลายพันธุ์มาเป็นลิเบอร่านในสังคมไทยเพราะตัวตนของผู้นั้นขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ และการให้เกียรติมนุษย์คนอื่นที่คิดต่าง ซึ่งเป็นการประจานความย้อนแย้งในตัวร่านผู้นั้น แต่ต่อให้ตัดความเป็นร่านออกไป ฐานคิดแบบลิเบอรัลก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีเมื่อมันวางอยู่บนความคิดของความเสมอภาค ความเท่าเทียม​ ความเสมอเหมือน​ ของ​ "อำนาจ" ในการตัดสินใจของแต่ละคน​

โดยยกความสำคัญของ "อำนาจของปัจเจก" อยู่เหนือ"อำนาจอื่นๆ" (The​ Others)​ ทั้งปวง เช่น​ สิ่งศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้า​  สถาบันหลัก ฯลฯ​   เพราะอำนาจอื่นๆทั้งหมดจะถูก "ถอดรื้อ" หรือถูกลดทอนลงเป็น​อำนาจในการเลือกหรือเชื่อแบบหนึ่งตามจริตของปัจเจกหรือกลุ่มคณะ​เท่านั้น

ทุกๆที่ในโลกจะมี​ "อำนาจ" ย่อยๆแบบนี้เยอะแยะไปหมด​ แล้วจะเริ่มทะเลาะกันเอง แตกแยกกันเองไม่ว่าจะด้วยวิธีเลวๆแบบ "บูลลี่" หรือ​ วิธี​เนียนๆแบบ "วิชาการ" โดยที่ไม่มีใครบอกได้แน่ๆว่า​ "มึงผิด​ กูถูก"  ยกเว้น​ต่างคนก็ต่างเชื่อ​ ทางใครทางมันกันไป​ ถ้าสุดท้ายคุยกันไม่ได้ตกลงกันไม่รู้เรื่อง​ 

 

ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

 

"ผมก็ต้องตัดสินใจยึดอำนาจ" ซึ่งทำให้อธิบายได้ว่าทำไม​ "รัฐประหาร" มันถึงไม่ถูกเพราะเป็นการแทรกแซงอำนาจปัจเจกด้วยอำนาจอื่น​  แต่ในทางกลับกันการ​ "บูลลี่" ก็ถือว่าผิดเพราะเป็นการใข้ "อำนาจอื่น" คือ​พวกพ้อง, กฏหมู่ มากดขี่อำนาจของบุคคล​อื่นๆ ต่อให้หลักการของฝ่ายที่บูลลี่จะดูถูกต้องกว่า​อย่างประชาธิปไตยก็ตาม

"อำนาจ" ของปัจเจกนี่จึงประหนึ่ง​ "อำนาจศักดิ์สิทธิ์" ที่เข้ามาแทนที่​ พระเจ้า, กฏจักรวาล, กฏแห่งกรรม, กฏฟ้าดิน, ผีสางเทวดา, พระบุตร, ผู้ไถ่บาป, ศาสดา, ธรรมราชา, ผู้เป็นเจ้า, ผู้ปกครอง, คณะเจ้า, คณะราษฏร์​ ฯลฯ​ หรืออะไรก็ตามที่เป็น​ "อำนาจอื่น" อันเป็น​ "Story" อีกชุดที่มีมาก่อนหน้า

 

ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

 

ก็ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไม​ อาจารย์ปรีดี, คุณปิยะบุตร, คุณธนาธร, อาจารย์ชาญวิทย์, อาจารย์นิธิ, คุณสุชาติ​ ฯลฯ เอ่ยชื่อได้ไม่หมด จึงได้หัวปักหัวปำอยู่กับวาทกรรมต่อต้านทหาร​ ต่อต้านเผด็จการ​ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์​ เพราะฐานคิด​ที่แท้จริงเป็นแบบนี้​นี่เอง

แต่สิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำไม่ถูก คือพยายามทำตัวประหนึ่ง​ "พระเจ้า" หรือ​ "ผู้ทรงธรรม" หรือเป็น​ เทพเจ้าองค์ใหม่เสียเอง​ และก่นด่า​ ประนาม​ เหยียดหยาม​ คนอื่นที่ยังเชื่อถือใน​ "อำนาจอื่น" อยู่ในบางระดับ​ โดยลืมไปว่าการเชื่อถือเช่นนั้นก็เป็นความสมัครใจที่จะใช้อำนาจปักเจกของตนไปเช่นนั้น​ ต่อให้ถูก​ "ครอบงำ" อย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็เถอะ และอำนาจปัจเจกนั้นก็ควรได้รับความเคารพแบบเดียวกันกับอำนาจของปัจเจกอีกฝ่าย​ ไม่ต่างกัน​ มิใช่หรือ

 

ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า

1.​ การใช้อำนาจการตัดสินหรือเลือกของมนุษย์ไม่ได้ดำเนินไปด้วยเหตุผล​ แต่ดำเนินไปด้วย​ "อารมณ์"หรือ "จริต"ตนเองเป็นหลัก ภายใต้หน้ากากของเหตุผลที่ปกปิดเอาไว้เพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่น

2.​ ฐานคิด​ "ตัวกู" เป็นศูนย์กลางจักรวาลนี้​ เป็นเพียง​ "Story" แบบหนึ่งเพื่อยึดโยงมนุษย์ชาติให้อยู่ร่วมกันและเอาตัวรอดอย่างมึ​ "flexible-cooperation" (การร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่น)​ ที่ทำให้มนุษย์สายพันธ์​ เซเปียน​ ได้เปรียบเหนือสัตว์อื่น​ๆ​ 

 

ทำไมเราถึงเกลียดชังกันเพียงแค่เห็นต่าง ....

 

โศกนาฏกรรมของเซเปียนส์และโลกใบนี้คือ การทำลายสิ่งแวดล้อม สปีชีส์อื่น รวมทั้งทำลายกันเองผ่านสงครามต่างๆไม่หยุดหย่อน ซึ่งล้วนมีที่มาจาก ฐานคิด "ตัวกู" ที่ผลิตความเชื่อบ้าๆให้คนเราเกลียดกันเองเพราะคิดต่างเห็นต่างเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น​ "รัฐประหาร" หรือ​ "ประชาธิปไตย" ถ้าเราสามารถมองมันในมุมมองเชิงวิวัฒนาการเชิงสังคมแบบดาร์วินแล้ว​ 

 

มันจะไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดกว่าอะไร ถ้า​ "Story" นั้นสามารถทำให้สังคมนั้นๆหรือสังคมมนุษยชาติโดยรวมอยู่รอดและประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิตต่อไปอีกได้​ สาระสำคัญอยู่ที่​ "Story"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด​  มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้​ โดยไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน ฆ่าแกงกันเพราะเชื่อ "Story" คนละชุด และตอนนี้​ "Story" แบบมนุษยนิยม​ เรื่องอำนาจปัจเจก​อันมี​ "ตัวกู"เป็นศูนย์กลาง​ กำลังถูกท้าทายและทำลายล้าง​ (หรือ​ โดน disrupt)​

 

โดยการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เพิ่งปรากฏมีขึ้นมาไม่ถึง​ 10​ ปี​ ที่จะทำให้​ Sapiens​  กำลังจะกลายเป็นมนุษยํสายพันธ์ุสุดท้ายในอนาคตอันใกล้ มีแต่ต้องสามารถดูจิต รู้ทันความคิดตัวเอง อย่างเป็นนายความคิดตัวเองได้ด้วยการตื่นรู้เท่านั้น เราจึงจะสามารถก้าวข้าม กับดักทางความคิดแบบลิเบอรัลที่เอา"ตัวกู" เป็นศูนย์กลางไปได้ ...

 

ธนาธร

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
คิดแบบ "ธนาธร" เป็นภัยกับ "ระบอบประชาธิปไตย" บทความพิเศษ :: ดร.เวทิน ชาติกุล    
"ทักษิณ"เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข??