แนวคิดพัฒนาประเทศ?? "รังสิมันต์ โรม" ภูมิใจเสนอทหารต้องไม่ใส่ชั้นในซ้ำกัน 7 วัน ไม่จำเป็นอย่าปลุกยามดึก!!

รังสิมันต์ โรม ชื่อนี้หลายคนอาจคุ้นเคยกันในภาพของนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ปัจจุบันคุณรังสิมันต์ ได้กระโดดมาเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วค่ะด้วยการเข้าสมัครเป็นว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ที่มีหัวหน้าเป็นคนที่ชักชวนขึ้นรถตู้หนีตำรวจสน.ปทุมวันเมื่อปี 2558 นั่นล่ะค่ะมาวันนี้เปิดหน้าเปิดตากันเต็มตัวว่าอยู่ฝั่งเดียวกัน การลงมาเล่นการเมืองเต็มตัวครั้งแรกของคุณรังสิมันต์ไม่แน่ใจว่าจะมีใครที่จับตามองอยู่บ้างรึเปล่าแต่ที่แน่ๆ การชูนโยบายแนวความคิดของคุณรังสิมันต์ที่บอกว่าจะปฏิรูปกองทัพ ฟังๆ ดูมันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้นะคะ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้มันเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศยังไง??

แรกเริ่มเดิมทีของการก้าวเข้ามาในสนามการเมืองของคุณรังสิมันต์เกิดจากการเดินไปสมัครพรรคอนาคตใหม่แบบโต้งๆ เนี่ยล่ะค่ะ เพราะมีความคาดหวังจะสานต่ออุดมการณ์การเมือง เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2561 คุณรังสิมันต์ โรม หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง พร้อมด้วยนายปิยรัฐ จงเทพ แนวร่วมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เดินทางไปเขียนใบสมัครว่าที่ผู้ลงรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคอนาคตใหม่ หลังสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้วก่อนหน้านี้ คุณรังสิมันต์ บอว่า สมัครเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีวิสัยทัศน์ตรงกับแนวทางของพรรค ในการสร้างความเป็นประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ และวันนี้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งเรื่องอายุและการเป็นสมาชิกพรรค

แม้จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและการโหวตคัดเลือกจากสมาชิกพรรค หรือ ไพรมารี่โหวต ซึ่งมีหลายขั้นตอน แต่ประสบการณ์ทำงานเพื่อสังคม เป็นปากเสียงให้ประชาชน มาโดยตลอดจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้ได้รับคัดเลือก และยืนยันอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย มั่นใจว่าจะทำงานร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ได้ ครั้งนี้จะเป็นการเชื่อมกันของภาคประชาชนและนักการเมือง พูดถึงความคาดหวังกับพรรคการเมืองหลังจากนี้ บอกว่าต้องมีบทบาทมากขึ้น การรัฐประหารที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคการเมืองที่เคยมีไม่ได้ต่อสู้เต็มที่กับเรื่อง ซึ่งแรงบันดาลใจที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด คือผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน และขอประกาศเป็นศัตรูกับการรัฐประหารที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า วันสมัครเข้าพรรคคุณรังสิมันต์ ลั่นวาจาไว้แบบนั้น

คุณรังสิมันต์เคยเป็น "แนวหน้า" ของกลุ่มนักศึกษาและนักกิจกรรมการเมืองผู้ต่อต้านรัฐประหาร ทวงคืนประชาธิปไตย และจัดการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "คนอยากเลือกตั้ง" ครั้งนึงคุณรังสิมันต์ถึงกับเคยลั่นวาจาไว้ในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า... "ผมจะสู้กับ ผบ.ทบ. ผมจะสู้ไม่ให้ประเทศไทยมีรัฐประหาร ถ้าเรายังกลับไปสู่ระบบที่มีรัฐประหาร ประเทศไทยก็ไม่ได้ไป" คุณรังสิมันต์พูดถึงภารกิจใหม่คือเป็นตัวเชื่อมประสาน เพื่อทำให้พรรคการเมืองกับประชาชนเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "ต่อสู้ไปพร้อมกัน" แม้เคยรู้สึกผิดหวังกับพรรคการเมืองไทย ข้องใจว่าทำไมคนไทยถึงมี 2 ทางเลือกอยู่ตลอดเวลา และฝันจะเห็นพรรคทางเลือกใหม่ เส้นทางการตัดสินใจหลักๆ มาจากคุณปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ได้เทียบเชิญเข้าร่วมมาอยู่ในพรรคเดียวกัน ซึ่งในครั้งที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย คุณรังสิมันต์ถึงกับเคยพูดว่า...

"ในอนาคตสมมุติพรรคอนาคตใหม่ถูกทำให้สิ้นสภาพไป ผมไม่คิดว่าไอ้อุดมการณ์เหล่านี้มันจะล้มเหลว มากไปกว่านั้นมันอาจจะตอกย้ำและทำให้คนรู้สึกว่าเราต้องอยู่เคียงข้างและยืนหยัดต่อสู้" นั่นคืออุดมการณ์ของคุณรังสิมันต์ที่อาจจะคิดคล้ายๆ กันกับคุณธนาธร หรืออาจจะช่วยกันคิดเมื่อครั้งที่นั่งรถตู้ไปด้วยกันเมื่อปี 2558 ก็อาจจะเป็นไปได้

ซึ่งไหนๆ ก็พูดถึงความสัมพันธ์กันแล้วลงลึกไปอีกนิดค่ะ คุณรังสิมันต์ เคยโพสต์ถึงคุณปิยบุตรด้วย เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมานี้เอง บอกเล่าถึงความสัมพันธุ์สุดซึ้งเลยล่ะค่ะว่า... "สเตตัสนี้เป็นสเตตัสที่ยากลำบากไม่น้อย เพราะผมเขียนขึ้นจากความรู้สึกที่ต้องมองอาจารย์ตัวเองโดนโจมตีเป็นตำบลกระสุนตกอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงใกล้วันเลือกตั้ง และลากยาวมาถึงปัจจุบัน ผมรู้จักอาจารย์ปิยบุตรครั้งแรก ตอนเรียนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ วิชานี้น่าจะเป็นวิชาแรกๆ ที่ทำให้ผมนำวิชาความรู้ในห้องเรียนไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ผมมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมสิ่งที่เรากำลังเรียนในห้องเรียนจึงแตกต่างกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ความสงสัยนี้ได้สร้างคำถามมากมายต่ออาจารย์ปิยบุตร คำถามหลายเรื่องไม่อาจหาคำตอบได้ เพราะสังคมมันบิดเบี้ยวเกินกว่าที่จะหาตำราเล่มใดบนโลกใบนี้มาตอบได้ ผมตัดสินใจลงเรียนในเกือบทุกวิชาที่อาจารย์ปิยบุตรสอน เปลี่ยนคำถามที่ถามอาจารย์ปิยบุตร เป็นคำถามที่มุ่งต่อผู้มีอำนาจ เมื่อคำถามผมดังขึ้น ผมพบว่ามีแรงกระแทกมุ่งมาที่ตัวเองมิใช่น้อย แรงกระแทกนีมุ่งหวังให้ผมนั่งลงและยอมจำนน บางครั้งถึงขนาดพรากเสรีภาพที่ผมมี แต่ขณะเดียวกันผมพบว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่คิดเห็นเช่นเดียวกันกับเรา

มีหลายคนที่พร้อมเดินมาด้วยกันกับผม สนับสนุนผมเท่าที่คนๆหนึ่งจะทำได้ หนึ่งในคนที่ร่วมเดินและสนับสนุนผมตลอดมา คือ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในอาจารย์ที่สอนผมตลอดมา ผมจำได้ว่า ในวันที่อาจารย์ปิยบุตรมาเยี่ยมผมในเรือนจำ อาจารย์บอกว่า คุณต่อสู้ลำบากมาเยอะแล้ว ผมพอรู้ว่าข้างในอาหารเป็นยังไง เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะสั่งอาหารดีๆให้คุณกินข้างใน ยังไงคุณรอรับละกัน ผมและเพื่อนๆที่เหลือวันนั้นเลยได้ช่วยประหยัดงบประมาณหลวง ไม่ทานข้าวในเรือนจำ แต่ได้ทานข้าวจากเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แทน ผมและอาจารย์ปิยบุตร เราอยากเห็นสังคมไทยเปลี่ยนแปลง เราเชื่อว่าสังคมไทยที่เป็นอยู่ไม่ใช่คำตอบของวันนี้ ไม่ใช่คำตอบของคนรุ่นลูกหลานเรา เราไม่อาจจะส่งมอบมรดกแบบนี้ให้กำลังคนในเจนเนอเรชั่นหน้าได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องลงมือทำ ลงทำมืออะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมมันต้องเปลี่ยน การตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น แม้ว่าจะรู้ดีว่าการทำแบบนี้ อาจจะมีคมหอกคมดาบจำนวนมากมายพุ่งตรงเข้ามาก็ตาม ผมเข้าใจว่าวันที่ 17 ที่จะถึงนี้ เวลา 10 โมง ที่อาจารย์จะต้องไปรายงานตัวที่ ปอท. ในคดีที่ไม่รู้ว่าต้องพลิกตำราเล่มไหนถึงจะอธิบายว่าอาจารย์ดูหมิ่นศาลอย่างไร คงต้องสู้กันต่อไป จนกว่าความยุติธรรม ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น แล้วเจอกัน

และล่าสุด คุณรังสิมันต์ โรม ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ มีการโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ถึงแนวคิดในการปฏิรูปกองทัพ เนื้อหาใจความบอกแบบนี้ค่ะว่า..."ผมไม่คิดว่าการใส่เสื้อผ้าและชุดชั้นในซ้ำกัน 7 วัน จะช่วยให้กำลังพลของประเทศชาติมีสุขลักษณะอนามัยที่ดีเพียงพอ การถูกปลุกขึ้นมายามดึกโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ก็ยิ่งไม่น่าจะทำให้กำลังพลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการออกกำลังกายที่มีคุณภาพมากกว่ากายบริหารก็สามารถทำได้นอกรั้วสีเขียว หากแต่ประชาชนไทยต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้เพื่อเข้าถึงโอกาสในการได้รับการออกกำลังกายและโภชนาการที่มีคุณภาพ เรื่องที่เป็นเรื่องผิดปกติและไม่น่าจะถูกต้องสำหรับสังคมจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนชินชาภายในกองทัพ และเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง สิ่งเหล่านี้จึงมีความพยายามถูกทำให้กลายเป็นสิ่งปกติของสังคมไทยไปด้วยเสมอ โพสต์นี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่ยืนยันว่าเพื่อกำลังพลของประเทศชาติที่จะได้คุณภาพมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง และกระทบภาคส่วนอื่นๆ น้อยที่สุด การปรับปรุงและปฏิรูปความสัมพันธ์เชิงอำนาจของกองทัพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสังคมไทย..." คุณรังสิมันต์เค้าว่าไว้อย่างนี้

ทีนี้คงทราบความสัมพันธุ์ระหว่าคุณรังสิมันต์ กับพรรคอนาคตใหม่แล้วนะคะ จากลูกศิษย์-อาจารย์ เปลี่ยนมาเป็นสมาชิกร่วมพรรค จากนักศึกษาเคลื่อนไหวทางการเมือง กับ คนซุ่มดูเหตุการณ์ชักชวนพาขึ้นรถตู้ เปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าพรรค กับ สมาชิกพรรค ช่างดูเป็นเรื่องที่บังเอิญแบบลงตัวยังไงชอบกลนะคะ แต่ก็เอาเถอะค่ะ การเมืองดำเนินมาถึงปี 2562 แล้ว พรรคการเมืองไหนจะอยู่จะไป นโยบายไหนจะถูกชูขึ้นเป็นประเด็นหลักหรือตกไป การปฏรูปกองทัพแบบฉบับคุณรังสิมันต์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ใจเย็นๆ รอกกต.สรุปผลแน่ชัดอีกทีแล้วกันค่ะ

คุณผู้ชมสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมและย้อนหลังได้ที่เพจ เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก และทางยูทูปช่องทีนิวส์ ออนไลน์นะคะและอย่าลืมกด Subscribe และกดกระดิ่งเพื่อรับข้อมูลข่าวสารก่อนใคร