ยึดทรัพย์"หมอโด่ง" อดีตเลขาฯ บุญทรง  896 ล. ร่ำรวยผิดปกติเซ่นคดีจีทูจีข้าว

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ เป็นจำเลย กรณีขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยพิพากษายึดทรัพย์สินมูลค่า 896,554,760.28 บาท พร้อมดอกผล ของ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ เนื่องจากมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและข้าราชการการมืองอื่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 66 ได้รับเเต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 พ้นจากตำเเหน่งเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) มื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2555 พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2556

 

ยึดทรัพย์"หมอโด่ง" อดีตเลขาฯ บุญทรง  896 ล. ร่ำรวยผิดปกติเซ่นคดีจีทูจีข้าว

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 ชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกรวม 113 คน ทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเเละการระบายข้าว อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรรมการทุจริต พ.ศ. 2542 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และร่วมสนับสนุน นายภูมิ กับพวกรวม 5 คน กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542

 

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าวร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 66, 75 วรรคสอง และมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ให้แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนช้อเท็จจริง คณะอนุกรรมการไต่สวนแล้วปรากฎหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนว่าระหว่างผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกกล่าวหามีทรัพย์สินเป็นเงินฝากธนาคาร เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและยานพาหนะ มากเกินกว่าฐานะและรายได้ที่ผู้ถูกกล่าวหาแจ้งต่อกรมสรรพากร และมากกว่ารายได้ที่แสดงในบัญชีแสดงรายภารทรัพย์สินเละหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกกล่าวหายักย้าย ถ่ายเท ซุกซ่อนนำทรัพย์สินของตนเองให้บุคคลใกล้ชิดรวม 6 คนครอบครองแทน ได้แก่ นางชุฏิมา วัจนะพุกกะ หรือนางสาวชุฏิมา วัชรพุกกะ อดีตคู่สมรสของผู้ถูกกล่าวหา นางสาวอรชุมา วัจนะพุกกะ บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พลตำรวจตรี วีระวัฒน์ วัจนะพุกกะ และนางอรณี วัจนะพุกกะ บิดา และมารดาของผู้ถูกกล่าวหา นายสมาน ญาติมิ และนางสาวชุตินันท์ ญาติมิ บิดาและหลานของนางชุฏิมา

คณะอนุกรรมการไต่สวนจึงให้ผู้ถูกกล่าวหาและบุคคลดังกล่าวชี้แจง ผู้ถูกกล่าวหาไม่ชี้แจงเหตุผลใด ส่วนบุคคลที่ถือครองทรัพย์รวม 5 คนเว้นแต่นางสาวชุตินันท์ชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวน แต่คณะอนุกรรมการเห็นว่าคำชี้แจงดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้ ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุกรรมการไต่สวนว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติโดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 896,554,760.28 บาท

 

และยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้พิพากษาให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวรวมมูลค่า 891,554,760.28 บาท พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หากไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าวได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วนขอบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 83

 

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกาศคำร้องในที่เปิดเผยแล้ว ผู้ถูกกล่าวหา นางชุฏิมา วัจนะพุกกะ หรือนางสาวชุฏิมา วัชรพุกกะ นางสาวอรชุมา วัจนะพุกกะและนางสาวชุตินันท์ ญาติมิ ไม่ยื่นคำคัดค้าน ส่วนพลตำรวจตรี วีระวัฒน์ วัจนะพุกกะ นางอรณี วัจนะพุกกะ และนายสมาน ญาติมิ ยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์คัดค้านคำร้อง

 

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิเคราะห์พยานหลักฐานตามทางไต่สวนและรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว พิพากษาว่า ทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหามีเพิ่มขึ้นมากผิดปกติอันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ ให้ทรัพย์สินดังกล่าว รวมมูลค่า 896,554,760.28 บาท พร้อมดอกผลของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่อาจบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วน ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในอายุความสิบปี แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 38, 80 ประกอบมาตรา 83