ไม่ได้เป็นเรื่องส้มหล่นตามที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้กับกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.เพิ่มไป 2 คน ผู้ที่จะได้เข้ามาเพิ่มคือ วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 19 ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือ จิตภัสร์ กฤดากร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 20 เพราะฉะนั้นเราจะไปติดตามข้อเท็จจริง สำหรับหลักคิดคำนวณ เพื่อจะทำให้ได้รับทราบว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นไปตามกฏหมายของรัฐธรรมนูญ

ไม่ได้เป็นเรื่องส้มหล่นตามที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้กับกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.เพิ่มไป 2 คน  ผู้ที่จะได้เข้ามาเพิ่มคือ วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 19 ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือ จิตภัสร์ กฤดากร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 20

เพราะฉะนั้นเราจะไปติดตามข้อเท็จจริง สำหรับหลักคิดคำนวณ เพื่อจะทำให้ได้รับทราบว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นไปตามกฏหมายของรัฐธรรมนูญ

 

จากผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 จ.เชียงใหม่ ปรากฏว่านางสาวศรีนวล บุญลือ จากพรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียง 75,891 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสองจากพรรคพลังประชารัฐ คือ นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ ที่ได้ 27,861 เสียง

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 8 จ.เชียงใหม่ ให้ น.ส. ศรีนวล บุญลือ เป็น ส.ส. หลังตรวจสอบแล้วไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และประกาศให้นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม พ้นจากการเป็น ส.ส.

และรับรองให้ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โดยผู้ที่ได้รับการประกาศรับรองเป็น ส.ส.ใหม่ สามารถเข้ารับหนังสือรับรองจาก กกต.ได้ทันที จึงถือว่าขณะนี้มี ส.ส.ครบ 500 คนแล้ว ซึ่ง ส.ส.ใหม่ทั้ง 3 คนสามารถร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีได้หลังการปฏิญาณตน

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้งที่เขต 8 เชียงใหม่ด้วยคะแนนเกือบ 8 หมื่นคะแนน แต่ทำไมไม่ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มเติม ยืนยันว่า การจัดสรรเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นไปตามสูตรคณิตศาสตร์ใดๆ และ กกต.ไม่ได้กำหนด การคำนวนไม่ได้คิดจากคะแนนเขต 8 เขตเดียว แต่เป็นการนำคะแนนดิบของเขต 8 ไปรวมกับคะแนนดิบที่มีอยู่เดิมทั้งประเทศ แล้วนำมาคำนวณใหม่ ซึ่งบางพรรคมีเศษจุดทศนิยมเดิมที่ไม่ได้ใช้ในครั้งก่อน เมื่อมีคะแนนใหม่มาเติมจึงทำให้ได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น ขณะที่บางพรรคใช้เศษจุดทศนิยมไปแล้วและมีเหลืออยู่ แต่เมื่อรวมกับคะแนนใหม่ที่เติมเข้ามาก็ทำให้ยังไม่ได้รับการจัดสรรเพิ่ม ส่วนพรรคไทรักธรรมที่พ้นสภาพก็แพ้ไปแค่ .33

คนที่สงสัยเรื่องการปัดเศษแล้วมองว่าพรรคเล็กมีคะแนนน้อยก็ไม่จริง เพราะ 10 พรรครวมกันก็มีคะแนนเป็นล้าน ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกคะแนนมีค่า ต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 ที่กฎหมายให้ตัดพรรคที่คะแนนไม่ถึงร้อยละ 5 แต่กฎหมายใหม่ไม่ให้ทิ้ง กว่าล้านคะแนนของพรรคเล็กจึงมีเหมือนกับทุกคะแนนของพรรคอื่น เพื่อไทยมี 6 ล้านเสียง ไม่ได้บัญชีรายชื่อเลยก็เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้

ซึ่งการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามมาตรา ๑๒๘

 

มาตรา ๑๒๘ ในกรณีที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งแล้ว การคํานวณหาจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อจะพึงได้รับ ให้คํานวณตามวิธีการดังต่อไปนี้ โดยในกรณีที่มีเศษให้ใช้ทศนิยมสี่ตําแหน่ง

 

(๑) นําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหารด้วยห้าร้อยอันเป็นจํานวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร

(๒) นําผลลัพธ์ตาม (๑) ไปหารจํานวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทุกเขต จํานวนที่ได้รับให้ถือเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้เบื้องต้น และเมื่อได้คํานวณตาม (๕) (๖) หรือ (๗) ถ้ามีแล้ว จึงให้ถือว่าเป็นจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้

(๓) นําจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม (๒) ลบด้วยจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมดที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งผลลัพธ์คือจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นจะได้รับเบื้องต้น

(๔) ภายใต้บังคับ (๕) ให้จัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจะได้รับให้ครบหนึ่งร้อยห้าสิบคน โดยจัดสรรให้พรรคการเมืองตามผลลัพธ์ตาม (๓) เป็นจํานวนเต็มก่อน หากยังไม่ครบจํานวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน ให้พรรคการเมืองที่มีเศษจากการคํานวณมากที่สุดได้รับการจัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเพิ่มอีกหนึ่งคนตามลําดับจนครบจํานวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน

(๕) ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เท่ากับหรือสูงกว่าจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (๒) ให้พรรคการเมืองนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจํานวนที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

และให้นําจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่าจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (๒) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจํานวนที่จะพึงมีได้ตาม (๒)

(๖) ในการจัดสรรตาม (๕) แล้วปรากฏว่ายังจัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อไม่ครบหนึ่งร้อยห้าสิบคน ให้ "พรรคการเมืองที่มีเศษจากการคํานวณมากที่สุด"ได้รับการจัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเพิ่มอีกหนึ่งคนตามลําดับจนครบจํานวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน กรณีที่เศษที่เหลือของแต่ละพรรคการเมืองเท่ากันจนทําให้ไม่สามารถจัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อได้ครบจํานวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน

ให้นําค่าเฉลี่ยคะแนนของแต่ละพรรคการเมืองต่อจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมีหนึ่งคนมาพิจารณา โดยหากพรรคการเมืองใดมีค่าเฉลี่ยคะแนนของพรรคการเมืองต่อจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมีหนึ่งคนมากกว่าพรรคการเมืองอื่น ให้พรรคการเมืองนั้นมีสิทธิได้รับการจัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเพิ่มอีกหนึ่งคน และหากยังมีจํานวนค่าเฉลี่ยดังกล่าวเท่ากันอีก ให้ใช้วิธีจับสลาก

(๗) ในกรณีที่เมื่อคํานวณตาม (๕) แล้วปรากฏว่าพรรคการเมืองทุกพรรคได้รับจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อรวมกันแล้วเกินหนึ่งร้อยห้าสิบคน ให้ดําเนินการคํานวณปรับจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อใหม่ โดยคํานวณตามอัตราส่วนที่"ทุกพรรค"จะได้รับการจัดสรรจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

ซึ่งเมื่อรวมแล้วไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบคน โดยให้นําจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับคูณด้วยหนึ่งร้อยห้าสิบ หารด้วยผลบวกของหนึ่งร้อยห้าสิบกับจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่เกินจํานวนหนึ่งร้อยห้าสิบ และให้นํา (๔) มาใช้ในการคํานวณด้วยโดยอนุโลม

เพราะฉะนั้นการคำนวณคะแนน ส.ส.หลังจากเลือกตั้งซ่อมเขต 8 จ.เชียงใหม่ จึงทำให้ ลำดับผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่จะได้เข้ามาเพิ่มคือ เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 19 ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนมาเพิ่ม 27,861 คะแนน ครั้งที่แล้วมีเศษจากการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อขั้นสุดท้าย 0.1422

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือ"ตั๊น" จิตภัสร์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 20

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้มาอีก 1,738 คะแนน ในครั้งที่แล้ว มีเศษจากการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อขั้นสุดท้าย 0.3315

และการคำนวณคะแนนใหม่นี้จะทำให้นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคไทรักธรรม พรรคที่ได้รับคะแนนรวมทั่วประเทศน้อยที่สุดในบรรดาพรรคที่ได้ ส.ส.เข้ามา คือ ได้ 33,754 คะแนน มีจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจากการคำนวณขั้นสุดท้าย 0.4055 คน ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส. หลังจากทำหน้าที่มาได้เพียงไม่กี่วัน

สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ถึงแม้จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่เนื่องจากได้ ส.ส.เขตเพิ่มมาแล้ว จึงทำให้ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม

 

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ขุดมาขายอีก! เอ้าเอาเข้าไป!? "เพื่อไทย" ขุด 4 เหตุผล เปลื่ยนแผน! ดัน "ชัชชาติ" ชิงเก้าอี้นายกฯ

โอ๊คเหน็บ?คนยังมีชื่อไม่ตรงสันดานตัวเอง หรือประชาธิปัตย์แค่ตั้งแก้เคล็ด

ได้ทีขี่แพะไล่!! "ภูมิธรรม" หยาม จัดตั้งรัฐบาลลำบาก ชี้โพรง "นักการเมือง" หาผลประโยชน์กลับลำยังทัน!!

ญาติสุดทน!ศิลปินแห่งชาติโพสต์ชายป่วยจิตเคยชกป๋าเปรมถูกจับกดน้ำ