ในรายการเที่ยงตรง กับสนธิญาณ ได้นำเสนอในตอน เดินหน้าประเทศไทย ลุงตู่ลุยนั่งหัวหน้าพลังประชารัฐเอง

ในรายการเที่ยงตรงกับสนธิญาณ ได้นำเสนอในตอน เดินหน้าประเทศไทย ลุงตู่ลุยนั่งหัวหน้าพลังประชารัฐเอง ซึ่งคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เมื่อวานนะครับรายงานข่าวไปไม่ทันขาดคำนะครับว่ากลุ่มสามมิตร สนธิญาณ ขอเตือนให้รู้จักทหารและพี่น้องสาม ป. ให้ดีเสียก่อนนะครับว่าทหารนั้นคิดไม่เหมือนกับนักการเมืองและพี่น้องสาม ป.นั้น เขามีภารกิจ มีเป้าหมายที่เดินเข้ามาสู่การเมือง ไม่ใช่เป็นเป้าหมายส่วนตัว แต่เป็นเป้าหมายเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนคนอื่นจะคิดกับเขาอย่างไรเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ต้องสื่อสารให้เข้าใจ และไม่ทันขาดคำไม่ทันข้ามคืนข้ามวันล่ะครับก็ปรากฎข่าวออกมาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหรือลุงตู่จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเอง แถมจะหอบเอาณัฐพล ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส.มาเป็นเลขาธิการพรรค

 ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด จากเดิมอยู่ในมือของสี่กุมารของ ดร.สมคิด นั่นก็คือ ดร.อุตตม คุณสนธิรัตน์ ดร.สุวิทย์ และคุณกอบศักดิ์นะครับ ซึ่งว่ากันว่าทั้งสี่ท่านสี่คนเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของลุงตู่เองที่ ดร.สมคิดดึงเข้ามา และก็เสียสละลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ออกมาลุยงานทางการเมืองนะครับด้วยความเห็นชอบของลุงตู่จากการชี้นำของ ดร.สมคิด 

ก็มีคำถามล่ะครับว่าทำไมลุงตู่ถึงคิดขยับตัวปรับยุทธศาสตร์ของตัวเองใหม่จากแต่เดิมคิดจะเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามานั่งบริหารประเทศสานต่อสิ่งที่ทำไว้ตามเจตนารมณ์ ตามความมุ่งมั่นที่จะต้องสานงานต่อให้จบ อะไรเป็นจุดเปลี่ยน แน่นอนครับ แต่เดิมย้ำนะครับ พรรคพลังประชารัฐบริหารด้วยสี่กุมารของ ดร.สมคิดนะครับ ซึ่งทั้งสี่คนถือว่ามีภาพพจน์ที่ดี มีผลงานในการบริหารงานในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลลุงตู่มา เป็นที่ยอมรับของประชาชน 

อีกฝากฝั่งหนึ่งนะครับก็มีอดีตแกนนำ กปปส.อย่างณัฐพล ทีปสุวรรณ พุฒิพงศ์ ปุณณกัณฑ์นะครับ สองคนเข้ามาทำงานร่วมนะครับ แต่ทั้งสองสายดูเหมือนว่าจะมีวิธีคิดในการเดินงานคนละอย่างจึงไม่ได้เห็นการผสมผสานระหว่างทั้งสองสายในการทำงานในนามพรรคพลังประชารัฐ ไม่เพียงเท่านั้นล่ะครับการรับกลุ่มสามมิตรเข้ามา ซึ่งรู้ทั้งรู้กันอยู่นะครับว่ากลุ่มสามมิตร อิทธิฤทธิ์ทางการเมืองมากมายขนาดไหน แต่เนื่องจากกลุ่มสามมิตรก็คือพันธมิตรอันสำคัญของ ดร.สมคิด เมื่อกลุ่มสามมิตรเข้ามาจึงมีความสัมพันธ์และทำงานร่วมกับสี่กุมารของ ดร.สมคิด ค่อนข้างที่จะเป็นไปในทางเดียว ซึ่งเราจะเห็นได้ล่ะครับว่าการเจรจาตำแหน่งรัฐมนตรีหรือการแบ่งกระทรวงนะครับ

 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ลุงตู่เป็นนายกนั้นแล้วน่ะครับ แกนนำผู้บริหารของพรรคคือสี่กุมารนั้นเดินไปในทางเดียวกับกลุ่มสามมิตร ซึ่งแน่นอนครับเป็นการสวนทางกับการเดินทางการเมืองก่อนหน้านี้ซึ่งแน่นอนว่าเดินด้วยตัวของลุงตู่เอง แต่ใครจะเป็นตัวแทนของลุงตู่ไปเดินนั้นนะครับ ภาพก็ไม่ปรากฎชัด ชัดเจนนะครับยืนยันว่าการเดินเกมในการเจรจาต่อรองการจัดตั้งรัฐบาลและการแบ่งกระทรวงนั้นอยู่ภายใต้สายตาของลุงตู่ ถ้าไม่อย่างนั้นนี่นะครับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆที่เข้ามาเจรจาจะไม่ให้ความเชื่อถือ ซึ่งบุคคลนั้นจะเป็นตัวลุงตู่เองหรือลุงตู่มอบหมายก็ตามแต่ พรรคร่วมรัฐบาลเชื่อถือและเชื่อมั่นว่าผู้บริหารพรรคคือสี่กุมารที่เป็นแกนนำบริหารพรรคอยู่ 

ดังนั้นการขยับตัวของสี่กุมารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มสามมิตรและทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาล นี่ถือว่ากระทบกระเทือนกับภารกิจและเป้าหมายของลุงตู่อย่างแน่นอน ลุงตู่คิดจะเดินหน้าทางการเมืองนะครับไม่ใช่เพราะอยากจะตั้งพรรคการเมือง สร้างรากฐานทางการเมือง ไม่ใช่ แต่เพราะมีภารกิจที่ต้องเดินให้จบนะครับ ภารกิจนั้นก็คือภารกิจในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ และยิ่งระบอบทักษิณเสื่อมถอยลงโดยตัวมันเอง กลับมีธนาธร อนาคตใหม่ขึ้นมาแทนที่ อันตรายนี้นี่นะครับกองทัพลุงตู่เห็นแต่นักการเมืองอื่น นักการเมืองเก่าๆ นักการเมืองน้ำเน่าไม่เห็น ยังคิดการเมืองแบบเก่า อันนี้แหละครับที่น่าจะทำให้กองทัพหรือลุงตู่ต้องกลับมาคิดไคร่ครวญ ว่าถ้าถึงปล่อยให้การเดินเกมการเมืองของพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างนี้ต่อไปนะครับ น่าจะมีแต่ความเสื่อมถอย และอาจจะเสียท่า จะต้องเหนื่อยหนักในการต่อสู้ให้บรรลุความคิดของตัวเอง 

ย้ำนะครับ พรรคอนาคตใหม่และธนาธรเหนือชั้นกว่าทักษิณ เหนือชั้นกว่าตรงไหนครับ เหนือชั้นตรงที่่ทักษิณ ชินวัตรเข้าสู่การเมืองด้วยผลประโยชน์ ชูธง อุดมการณ์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ คนที่ร่วมกับทักษิณมาทั้งหมดมีผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง อ้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยชูขึ้น แต่ธนาธรมีความมุ่งมั่นเรื่องอุดมการณ์แท้จริง มีความเชื่อแท้จริง แต่ความเชื่อนั้นผมเรียนท่านผู้ชมว่าอันตราย เพราะเชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยตามความคิดของธนาธร เพราะฉะนั้นจึงต้องลดบทบาทหรือจำกัดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ลง ก็คงจะคล้ายๆกับคำของเลขาธิการพรรคคือปิยบุตร ที่เคยพูดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยก็เพราะการได้รับการอนุญาตจากประชาชน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ แต่นักการเมืองทั่วไปไม่รู้สึก และที่น่าสนใจและเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือผู้บริหารและแกนนำของพรรคพลังประชารัฐซึ่งนำโดยสี่กุมาร ไม่ได้เข้าใจข้อเท็จจริงเรื่องนี้
 

 เพราะฉะนั้นการดำรงความมุ่งหมายในการต่อสู้ต่อไปนี่นะครับจึงเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นโครงข่ายสำคัญ เป็นกองกำลังสำคัญที่จะต้องเดินควบคู่กันไปกับกองทัพ จะต้องประสานเป็นเนื้อเดียว จะต้องมียุทธศาสตร์ในการต่อสู้ ยุทธศาสตร์ในการบริหารประเทศชาตินะครับ ที่ผ่านมาชัดเสียยิ่งกว่าชัดนะครับ จะมาอ้างว่าต้องมีกระทรวงเกรดเอ กระทรวงสำคัญ เพื่อที่จะหาเสียงนะครับให้พรรคดำรงคงอยู่ ไม่ใช่หรอกครับ พรรคอนาคตใหม่ไม่เคยบริหารประเทศมาก่อน ไม่เคยมีผลงานมาก่อน เพียงแต่เชิดชูอุดมการณ์และชูอุดมการณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน ได้รับการสนับสนุนมาถึงหกล้านกว่าเสียง พรรคพลังประชารัฐได้แปดล้านนะครับหืดขึ้นคอ ลุงตู่บริหารประเทศมา คณะรัฐมนตรีโชว์ผลงานมาตลอดสี่ห้าปี ยังได้แค่นี้ และที่ได้นะครับนั่นก็เป็นความนิยมที่มีต่อตัวลุงตู่เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่มาจากรัฐมนตรีหรือมาจากนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง 

อันนี้เป็นเรื่องที่ลุงตู่ตระหนักชัด แต่ผู้บริหารของพรรคพลังประชารัฐยังไม่ชัดเจน ไม่ตระหนัก ดังนั้นนี่คือความจำเป็นที่ทำให้ลุงตู่ต้องตัดสินใจนะครับเข้ามาบริหารในทางการเมืองเอง เข้ามาแบกรับภารกิจเอง เข้ามาชูงธงเดินหน้าเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าตั้งใจที่จะทำงานทางการเมืองจริงๆ สิ่งที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือหน้าตาของ ครม.ว่าจะมีกลุ่มสามมิตรหรือพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงยี้สำหรับคนบางคนคนบางกลุ่ม ลุงตู่จะจัดการให้หน้าตาของ ครม.สดใสจนเป็นที่น่ายอมรับของประชาชนหรือไม่นะครับ แต่สำหรับสี่กุมารนะครับซึ่งจะหลุดออกจากโคจรการบริหารของพรรคพลังประชารัฐนั้นน่าจะได้รับการดูแลจากลุงตู่ต่อไป 

เพราะว่าเสียสละออกมาก่อตั้งพรรคนะครับ ตอนเป็นรัฐมนตรีก็ทำงานด้วยดี มีฝีมือ มีผลงานนะครับ เป็นมืออาชีพ เป็นนักวิชาการนะครับ แต่กระทรวงที่กระจายออกไปให้กับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วไม่สามารถที่จะดึงกลับมาได้ ก็ต้องดูล่ะครับว่า ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์นะครับ ต้องเรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของสี่กุมารนั้นจะตัดสินใจร่วมงานกับลุงตู่ต่อ เพราะไม่สามารถที่จะคอนโทรล หรือกำหนดทิศทางในการบริหารตามความคิดของตัวเองได้นะครับ อันนี้เป็นประเด็นที่จะต้องเกาะติดและต้องติดตามกันต่อไปครับ แต่แน่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ในพรรคพลังประชารัฐ 

และเชื่อว่าหน้าตา ครม.นะครับภายใต้ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงนี้มันจะส่งผลต่อเนื่อง นั่นก็คือการยืนหยัดจะเดินหน้าทางการเมือง จะไม่กลัวนักการเมืองน้ำเน่า พังเป็นพัง หักเป็นหัก แตกเป็นแตก ทำหน้าตาของ ครม.ให้ดีนะครับ ใครขวาง ยุบสภา ให้ประชาชนเห็นว่าเมื่อลุงตู่มาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว มีความหวังนะครับที่จะพึ่งพิงได้นะครับ ไม่ไปอิงแอบหรืออุ้มชูนักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลายเอาไว้ สวัสดีครับ