แผนซ้อนแผน!! เปิดแผลเก่า “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย แค่น้ำจิ้ม พรรคฝ่ายค้านเล็งไกลกว่านั้น เสียวไส้แทนพปชร.จริงๆ??

แผนซ้อนแผน!! เปิดแผลเก่า “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย แค่น้ำจิ้ม พรรคฝ่ายค้านเล็งไกลกว่านั้น เสียวไส้แทนพปชร.จริงๆ??

ปล่อยให้ชกข้างเดียวอยู่นาน  ล่าสุดนายอุตตม  สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงกับออกโรงโพสต์ยาวเหยียด ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังรุกหนัก เรื่องการปล่อยสินเชื่อกรุงไทยในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ประเด็นต้องกลับไปสรุปความถึงต้นเหตุ จากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาลงโทษผู้เกี่ยวข้อง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.3/2555 กรณีอัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย คนสำคัญ อย่างร.ท. สุชาย เชาว์วิศิษฐ์,นายวิโรจน์ นวลแข,นายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา 

 

รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ กลุ่มนิติบุคคล ในบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด , บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด , บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน), บริษัท โบนัสบอร์น จำกัด , บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด อีกจำนวนหนึ่ง รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น  27 คน ส่วนรายละเอียดความผิด ก็เป็นผลจากการที่มีหลักฐานควรเชื่อได้ว่า นายทักษิณ สั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย  อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทกฤษดามหานคร ซึ่งมีผลประกอบการขาดทุนมาโดยตลอด

 

แผนซ้อนแผน!! เปิดแผลเก่า “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย แค่น้ำจิ้ม พรรคฝ่ายค้านเล็งไกลกว่านั้น เสียวไส้แทนพปชร.จริงๆ??
 

และเป็นการอนุมัติสินเชื่อผ่านบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย   

 

1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500 ล้านบาท 
2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท  แยกเป็นวงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท  วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400ล้านบาท) 
3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท

 

ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวคือเป็นความผิด ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 , ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 , ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 รวบรัดตัดตอนให้กระชับสั้น ก็คือหลังจากศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้เกี่ยวข้อง ทางฝั่งพรรคเพื่อไทย และพรรคไทยรักษาชาติ ก็มีการเปิดประเด็นกล่าวหาว่า นายอุตตม มีส่วนเกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ยกตัวอย่างก็คือ กรณีของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีตผู้สมัครส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ ที่ออกมาเคลื่อนไหว อ้างอิงเอกสารการเซ็นอนุมัติเงินกู้ของธนาธาคารกรุงไทย ให้กับเครือบริษัทกฤษดามหานคร มีชื่อของนายอุตตม ร่วมอยู่ด้วยในฐานะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย แต่ทำไมถึงรอดพ้นความผิด

 

กระทั่งมาล่าสุด นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว  ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันจะเดินหน้าสอบทานคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีของ นายอุตตม ด้วยข้อกล่าวหากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) ว่าด้วยเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นทีประจักษ์ ซึ่งกณีนี้ก็มีเหตุผลสืบเนื่องมาจากการที่มีชื่อ   นายอุตตม เคยเป็นกรรมการบริหาร ธนาธนาคารกรุงไทย   ในช่วงที่มีการอนุมัติสินเชื่อให้เครือบริษัทกฤษดามหานคร จำนวนกว่า 9 พันล้านบาท ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของการโพสต์ชี้แจง โดยนายอุตตม มีใจความสำคัญ หลายบทหลายตอน ดังนี้

 

แผนซ้อนแผน!! เปิดแผลเก่า “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย แค่น้ำจิ้ม พรรคฝ่ายค้านเล็งไกลกว่านั้น เสียวไส้แทนพปชร.จริงๆ??
 

นายอุตตม เริ่มต้นการใช้คำว่า ผมไม่ผิด อย่าบิดเบือน ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีข้อกล่าวหาเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองมาโดยตลอด ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยเจตนาก็คือให้ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาร่วมกระทำผิดกับบุคคลที่ถูกลงโทษตามคำพิพากษา ในขณะที่ผ่ามา ตนเองได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฎผลว่ากระทำผิดอย่างที่มีเข้าใจกัน   ตรงกันข้ามตนเองต่างหาที่เป็นผู้ท้วงจิงกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงไทย ไม่ให้อนุมัติปล่อยสินเชื่อให้กับ กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร  จนนำไปสู่การตรวจสอบโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการอนุมัติปล่อยสินเชื่อจำนวนดังกล่าว และสรุปว่าตนเองไม่ม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อ จึงไม่ได้กล่าวโทษ เหมือนกับผู้บริหารรายอื่นๆ แต่ดำเนินการกล่าวโทษผู้เกี่ยวข้องจริง ต่อปปช.ในช่วงปี 2549 และ คณะกรรรมการตรวจสอบการกระทำที่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในการไต่สวนข้อเท็จจริง รวบรวมพยาน หลักฐาน ทั้งหมด

 

และต่อมาคตส.ก็ชี้มูลว่าตนเองมามีความผิด หลังจากมีการตรวจสอบในหลายระดับ รวมถึงการเรียกตนเองไปให้การหลายครั้ง จนเชื่อว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดจึงไม่ส่งชื่อให้อัยการฟ้องเป็นคดีอาญา ไม่ใช่แค่นั้นจาการสอบของอัยการ ก็เห็นพ้องกับคตส. ในไม่ยื่นฟ้องตนเองในคดีนี้ เพราะจากการสอบสวนทั้งหมด มีหลักฐานบ่งชี้ว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วย สุดท้ายจึงไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ร่วมรับผิดแต่อย่างใด จากข้อมูลนี้ก็ไม่รู้ว่า ทางพรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้ายังไงต่อ จากระแสข่าวก่อนหน้าว่า มีเป้าหมายจะซักฟอก 4 รัฐมนตรีพรรคประชารัฐ ซึ่งชัดเจนว่านี่คือรูปแบบการต่อสู้ทางการเมือง ถามว่าทำไมพรรคฝ่ายค้านถึงเล็งเป้าไปที่ 4 รัฐมนตรี  แน่นอนว่า  4 ชื่อที่ถูกกล่าวถึง ก็หนีไม่พ้น 1.ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษณ์ 2.นายอุตตม สาวนายน 3.นายสนธิรัตน์  สนธิจิรวงศ์  และ 4.ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ซึ่งเป็นทีมเศรษฐกิจเดิมของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 

 

ส่วนเหตุผลทางการเมืองที่พอจะอธิบายได้ในขณะนี้ ว่าทำไมต้องเป็นเฉพาะ 4 อดีตรัฐมนตรี  หลักๆ เลยก็มาจากผลพวงความไม่ลงตัว  เรื่องการจัดสรรโควต้ารัฐมนตรี  ภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีการแยกขั้วชัดเจน ระหว่าง กลุ่มดร.สมคิด กับ 4 กุมาร หรือ อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เดิม , กลุ่มกปปส. และ กลุ่มสามมิตร จนเป็นที่มาของความขัดแย้งในหลายระดับ  ถึงขั้นมีการแถลงข่าวขับไล่ นายสนธิรัตน์  ออกจากเลขาธิการพรรค ก็ทำให้เห็นมาแล้ว ดังนั้นแม้ว่านายอุตตม  อาจสามารถเคลียร์ตัวเองไปได้ในระดับหนึ่ง  แต่เชื่อแน่ว่ายุทธวิธีการลอบตี แยกขั้วพรรคประชารัฐของพรรคฝ่ายค้าน คงมีการดำเนินการต่อไป ประเด็นคือใครจะเป็นคนแรก และเสียงภายในพรรคพลังประชารัฐจะเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้น...น่าจับตายิ่ง 

 

แผนซ้อนแผน!! เปิดแผลเก่า “อุตตม” คดีปล่อยกู้กรุงไทย แค่น้ำจิ้ม พรรคฝ่ายค้านเล็งไกลกว่านั้น เสียวไส้แทนพปชร.จริงๆ??