"วัฒนา" โชว์หลักฐาน อ้าง ป.ป.ช. สอดไส้คำให้การคดีบ้านเอื้ออาทร โวย เสมือนปฏิบัติกับศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง!!

นายวัฒนา เมืองสุข โชว์หลักฐานอ้าง ป.ป.ช.ตัดแต่ง สอดไส้ คำให้การพยานในคดีบ้านเอื้ออาทร จนคำให้การของพยานในชั้นศาล กลายเป็นคนละเรื่องกับ คำให้การในชั้นสืบสวนสอบสวนของค.ต.ส. เชื่อป.ป.ช.ทำเพื่อจงใจปกปิดความบริสุทธิ์ ของนายวัฒนา

 

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักฐานคำให้การของพยาน ในคดีอนุมัติจัดสรรจำนวนหน่วยก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทร มาแสดงต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวว่า ได้พบข้อพิรุธของ ป.ป.ช. ในการทำสำนวนฟ้องร้องคดีบ้านเอื้ออาทร โดย ป.ป.ช.ได้ตัดต่อคำให้การของพยานในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง ส่งผลให้คำให้การของพยานที่ ป.ป.ช. ยื่นต่อศาล มีเนื้อหาที่แตกต่างจากบันทึกคำให้การที่พยานเคยให้ถ้อยคำไว้ต่อ ค.ต.ส. ทั้งยัง เป็นการจงใจปกปิดหลักฐานที่แสดงความบริสุทธิ์ของนายวัฒนาในฐานะจำเลย อย่างน้อย 5 ประเด็น คือ

 

1. ป.ป.ช. จงใจตัดทิ้งถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของการเคหะแห่งชาติ คือ นายพิทยา เจริญวรรณ ที่ระบุว่า ประกาศ ก.ค.ช. เกี่ยวกับ TOR หรือ หลักเกณฑ์ในการเข้าร่วมดำเนินโครงการเอื้ออาทรของผู้ประกอบการ ที่ตนได้กำหนดไว้เป็นหลักเกณฑ์ ยังคงประกาศใช้มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ คาดว่า ป.ป.ช. ต้องการปกปิดไม่ให้ศาลรับทราบข้อเท็จจริงว่า TOR ในสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่ดีและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่เปิดช่องให้ใช้ดุลยพินิจในการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใดเป็นพิเศษได้ 

 

จึงยังมีการนำ TOR ที่กำหนดขึ้นในสมัยตนมาใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ ป.ป.ช. กลับจงใจตัดข้อความของพยานในประเด็นนี้ทิ้งไป ทั้งๆ ที่ นาย พิทยา ได้พูดย้ำถึงสองครั้งว่า TOR ของตนยังไม่ได้ถูกยกเลิก ในบันทึกคำให้การต่อ ค.ต.ส.

 

"วัฒนา" โชว์หลักฐาน อ้าง ป.ป.ช. สอดไส้คำให้การคดีบ้านเอื้ออาทร โวย เสมือนปฏิบัติกับศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง!!

2. ป.ป.ช. จงใจตัดทิ้งถ้อยคำที่เจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติ คือ นายพรศักดิ์ บุณโยดม ยืนยันว่า การเคหะเป็นผู้ดำเนินการจัดการประชุม เพื่อให้ศาลเข้าใจว่า ตนในฐานะรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เรียกผู้ประกอบการมาพูดคุยส่วนตัวเรื่องผลประโยชน์ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกล่าวหาของ ค.ต.ส ที่อ้างว่า ตนเรียกรับผลประโยชน์ต่อหน้าที่ประชุม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติก็เป็นผู้ยืนยันว่า การประชุมทั้ง 3 ครั้ง เป็นการประชุมที่การเคหะแห่งชาติจัดขึ้น และมีเจ้าหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติเข้าร่วมประชุมด้วย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตนจะเรียกรับสินบนกลางที่ประชุม ไม่มีคนปกติที่ไหนจะเรียกรับสินบนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ 

 

นอกจากนี้ ยังมีข้อพิรุธอีกด้วยว่าเอกสารบันทึกคำให้การของ นาย พรศักดิ์ ไม่มีลายเซ็นต์กำกับ จำนวน 8 แผ่น จึงน่าสงสัยว่าอาจเป็นเอกสารที่สอดไส้เข้ามาภายหลัง เพื่อเปลี่ยนแปลงคำให้การของพยาน

 

เพราะขนาดคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นาย แก้วสรร อติโพธิ อดีตประธานอนุกรรมการ ค.ต.ส.ก็ยังพยายามยื่นเอกสารหลักฐานใหม่อีกจำนวน 12 แผ่น เพื่อใช้เล่นงานตนเพิ่มอีก ทั้งๆ ที่เป็นข้อมูลใหม่ที่อยู่นอกคำฟ้อง ตามหลักแล้ว จะยื่นเพิ่มเติมทีหลังไม่ได้ ซึ่งการยื่นข้อมูลใหม่นอกสำนวนฟ้องเช่นนี้คล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชี้ให้เห็นว่ามีความพยายามเล่นงานตนอย่างผิดปกติ

 

3. ป.ป.ช. จงใจตัดทิ้งถ้อยคำของ นายพิทยา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของการเคหะแห่งชาติ ที่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งช่วยราชการอยู่หน้าห้องของตนไม่เคยแทรกแซงหรือสั่งการใด ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโครงการบ้านเอื้ออาทร เพียงแค่ทำหน้าที่ประสานและติดตามการทำงานเท่านั้น ซึ่งสวนทางกับข้อกล่าวหาของ คตส. และ ป.ป.ช. เพราะ นายพิทยา ซึ่งเป็นพยานโจทก์ ยืนยันว่า ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน โดยที่หน้าห้องของนาย วัฒนา ไม่เคยไปแทรกแซงหรือสั่งการ แต่ ป.ป.ช. กลับตัดคำให้การเหล่านี้ออกไม่บันทึกในถ้อยคำที่ยื่นต่อศาล

 

"วัฒนา" โชว์หลักฐาน อ้าง ป.ป.ช. สอดไส้คำให้การคดีบ้านเอื้ออาทร โวย เสมือนปฏิบัติกับศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง!!

4. ป.ป.ช. จงใจตัดทิ้งถ้อยคำของ นายพิทยา ที่ยืนยันว่า ไม่รู้จักและไม่เคยเห็น นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร เข้ามาแทรกแซงหรือสั่งการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นตัวแทนของตน ในการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับโครงการบ้านเอื้ออาทรเช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลเข้าใจว่าตนมีความเชื่อมโยงกับ นายอภิชาติ และเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์จาก ผู้ประกอบการผ่าน นายอภิขาติ และพวก

 

5. ป.ป.ช. จงใจตัดทิ้งสาระสำคัญต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติให้การในลักษณะยืนยันความบริสุทธ์ของโครงการเอื้ออาทรว่า การอนุมัติการเข้าร่วมโครงการและการอนุมัติจำนวนหน่วยก่อสร้างให้กับผู้ประกอบการ นั้น เป็นภารกิจภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการการเคหะฯ ที่เสนอผ่านคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองฯ 

 

ซึ่งตนเองแม้จะเป็นรัฐมนตรี ไม่สามารถใช้ดุลยพินิจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใดได้ เพราะกระบวนการต่าง ๆ ในการอนุมัติโครงการบ้านเอื้ออาทรมีขั้นตอนและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน  

 

นายวัฒนา มองว่า การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. นั้นส่อเจตนาไม่สุจริตและขาดความน่าเชื่อถือ คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก เป็นเจตนาหาเรื่องทางการเมืองเพราะตนเป็นคู่ขัดแย้งของรัฐบาล โดย ป.ป.ช. จะอ้างไม่ได้ด้วยว่าทำไปเพราะหลงลืมและอย่าอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะ ป.ป.ช.เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง ย่อมตระหนักดีว่า การตัดต่อสำนวนในลักษณะนี้จะส่งผลอย่างไรต่อรูปคดี แสดงว่ามีเจตนาไม่บริสุทธ์และจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงเพราะหวังผลทางคดี แต่ความที่ตนก็เป็นนักกฎหมายเช่นกัน จึงต้องอ่านเอกสารหลักฐานอย่างละเอียดเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง ถ้าเป็นคดีของคนอื่นซึ่งไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย โดนยัดไส้สำนวนเข้ามาแบบนี้จะทำอย่างไร 

 

ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ป.ป.ช. เคยทำแบบนี้มากี่คดีแล้ว เพราะแบบนี้ใช่ไหม คดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ป.ป.ช. จึงมีผลการตัดสินที่ค้านสายตาประชาชน เช่น กรณีนาฬิกา 22 เรือน ที่เอาผิดใครไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ คนทั้งสังคมเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นคดีของฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล กลับโดนลงโทษอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่ ไม่ได้ทำอะไรผิด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ สังคมจะยิ่งเสื่อมศรัทธาการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ที่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองและยอมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหากเป็นใบสั่งของผู้มีอำนาจ 

 

การบิดเบือนคดีในลักษณะนี้ จะโทษการใช้ดุลยพินิจของศาลไม่ได้ เพราะมันผิดตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรมแล้ว คือ ตั้งแต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงในการทำสำนวนคดี ทำให้ศาลท่านต้องวินิจฉัยไปตามสำนวนเหล่านั้น คดีของตนเป็นหนึ่งในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่าการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. มีปัญหาและควรต้องแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งใครต่อใครได้อีก

 

ดังนั้น นายวัฒนา จะนำพยานหลักฐานดังกล่าวยื่นต่อศาลเพื่อร้องขอให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงและดำเนินคดีต่อ ป.ป.ช. เพราะการตรวจสอบของ คตส. และ ป.ป.ช. ไม่ได้อยู่บนหลักนิติธรรม แต่เป็นการตรวจสอบเสมือนปฏิบัติกับศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง ไต่สวนโดยมุ่งหมายจะเอาผิดโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจถึงขนาดข่มขู่พยานและบังคับให้พยานให้การตามคำแนะนำของผู้สอบสวน ส่วนประธานอนุกรรมการไต่สวน คตส. ก็เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับผม ในขณะที่ ป.ป.ช. ก็ดำเนินการไต่สวนโดยอคติและเลือกปฏิบัติทำตัวเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้กับผู้มีอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกับตน ที่สำคัญ นาย วัฒนา กล่าวว่าเคยยื่นขอความเป็นธรรมจาก ป.ป.ช. แต่กลับได้รับคำปฏิเสธจาก ป.ป.ช. ว่าไม่ได้มีหน้าที่ให้ความเป็นธรรม นาย วัฒนา ดังนั้น นาย วัฒนา จึงต้องร้องขอความเป็นธรรมจากศาลในครั้งนี้แทน

 

"วัฒนา" โชว์หลักฐาน อ้าง ป.ป.ช. สอดไส้คำให้การคดีบ้านเอื้ออาทร โวย เสมือนปฏิบัติกับศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง!!