บทสรุปปมถวายสัตย์ ต้องรอวินิจฉัยศาลรธน. คาใจ“ปิยะบุตร”เดินหน้าส่งซิกถล่ม ”นายกฯตู่" ???

ถึงนาทีนี้มีการมองว่าประเด็นร้อนการเมือง ว่าด้วยการเดินหน้าเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กรณีการกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 มาถึงจุดของความคลี่คลายในระดับสำคัญ

ถึงนาทีนี้มีการมองว่าประเด็นร้อนการเมือง    ว่าด้วยการเดินหน้าเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี   และ รมว.กลาโหม  กรณีการกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 161  มาถึงจุดของความคลี่คลายในระดับสำคัญ

โดยปมร้อนดังกล่าว  "สนข.ทีนิวส์"  เคยเรียบเรียงนำเสนอมาแล้วหนึ่งรอบ   โดยย้ำให้เห็นพฤติกรรมเชิงลึกของพรรคฝ่ายค้าน   ที่ไปไกลกว่าจะติติง ทักท้วง    แต่เจตนาชัดว่าต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์   กลายเป็นผู้กระทำผิดต้องพ้นจากหน้าที่ 

 

ถวายสัตย์


แปลความง่าย ๆ  ก็คือสบช่องเอาเรื่องของขั้นตอนการถวายสัตย์มาใช้ซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์   ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า  ไม่ต่างกับการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการพิฆาตรัฐบาล     ยกตัวอย่างกรณี  การเคลื่อนไหวของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  เตมียาเวส   หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย  ที่มีการยื่นคำร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน    ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความผิด ตามมาตรา 46 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  

 

 


ส่วนประเด็นข้อกล่าวหาที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์   นำเสนอผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน  ในเชิงลึกรายละเอียด ก็เป็นผลสืบเนื่องต่อจาก  ข้อกล่าวหาการทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย    ประธานสภาผู้แทนราษฎร  และ นายพรเพชร วิชิตชลชัย  ประธานวุฒิสภา  ในกรณีปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์  และ   ครม.  ปฏิบัติหน้าที่  ทั้ง ๆ ที่ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน   อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา  159, 161 และ  162 

 

 


จนท้ายสุดไปไกลถึงขั้น   รวมกันเข้าชื่อส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 214 คน ยื่นต่อนายชวน หลีกภัย  ประธานสภาผู้แทนราษฎร   ขอใช้สิทธิตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ    เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ  เพื่อซักถามและเสนอแนะ จากกรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ  พร้อมย้ำว่าเท่ากับเป็นการเข้ารับหน้าที่ไม่สมบูรณ์  ของพล.อ.ประยุทธ์  และครม.  

 

 

บทสรุปปมถวายสัตย์ ต้องรอวินิจฉัยศาลรธน. คาใจ“ปิยะบุตร”เดินหน้าส่งซิกถล่ม ”นายกฯตู่" ???

ย้ำช้า ๆ ชัด ๆ ว่า สนข.ทีนิวส์ ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายพึงตระหนักเรื่องนี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 5  สิงหาคม  2562 ว่า  การยกประเด็นคำถวายสัตย์ฯ  โดยมีเป้าหมายเพื่อไล่"นายกฯตู่" ให้พ้นเก้าอี้ ต้องระวังให้ดีอย่าล้ำเกิน-จนก้าวล่วง!??

 


เป็นการถอดรหัสจากคำพูดของนายวิษณุ เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี  ที่เริ่มต้นจากการให้ข้อมูลว่า  สักวันหนึ่ง จะทราบเองว่าทำไมไม่ควรพูด  ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์  ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า    การดำเนินการทุกอย่างที่ผ่านมา    เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญทุกประการ     ในการถวายสัตย์ฯต่อหน้าพระมหากษัตริย์      และสำคัญที่สุดข้อความต่างๆที่พูดไปแล้ว   ถือว่าครอบคลุมทั้งหมด  และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญในการดูแลพี่น้องประชาชนคนไทย  

 

การถวายสัตย์ฯต่อหน้าพระมหากษัตริย์


สิ่งที่สำคัญเหนือยิ่งสิ่งอื่นใด  คือ    พระราชดำรัสของ   พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว   ว่า  ด้วยการพระราชทานกำลังใจ   ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ  ครม.ชุดใหม่  ในการมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่  เพื่อให้ได้ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ  เพื่อประโยชน์สุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน

 


งานใด ๆ ก็ต้องมีอุปสรรค งานใดๆ  ก็ต้องมีปัญหา เพราะฉะนั้น  ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องแก้ปัญหาและเข้าหางาน  เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานการณ์ โดยแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุด และมีความเข้มแข็งอดทน ก็ขอให้คณะรัฐมนตรีและรัฐบาลได้มีกำลังใจ มีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ด้วยความถูกต้องต่อไป  

 


ในคราวนั้น สนข.ทีนิวส์ ยังเน้นให้ทุกฝ่ายพึงตระหนัก  ด้วยว่า  ถ้อยคำถวายสัตย์ปฏิญาณ     แม้เป็นสิ่งสำคัญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ   แต่ยิ่งยวดที่สุดทุกรัฐบาลต้องกระทำ ก็คือ การบริหารประเทศให้เป็นไปตามคำถวายสัตย์   โดยที่ผ่านมารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540  มาตรา  205  และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550  มาตรา  175  ก็มีการเขียนประเด็นว่าด้วยถ้อยคำถวายสัตย์ฯไว้เช่นกัน  

 

 


ทั้งเรื่องความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์    การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน  และการรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ  แต่ประชาชนคนไทยล้วนประจักษ์ด้วยข้อเท็จจริงว่า  รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา ได้ตระหนักหรือปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ฯหรือไม่  อย่างไร 

 

 

 


อย่างไรก็ตามเมื่อกระบวนการทั้งหมดมาถึงจุดนี้  จึงมิบังควรตีความใด ๆ ให้เป็นการกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง  และคงต้องติดตามดูขั้นตอนอื่น ๆ ที่มีการดำเนินการไปก่อนหน้า  ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร

 

 


อย่างกรณีคำร้องถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน  ล่าสุด   นายรักษเกชา  แฉ่ฉาย   เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  แถลงมติที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน  ใน 3 ประเด็น  คือ 1. ให้ยุติคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย  และ นายอัยย์  เพชรทอง  เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ  ในประเด็นเดียวว่า  หากการที่นายกฯถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน  มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง   โดยผู้ตรวจฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีการถวายสัตย์ไม่ครบเป็นเรื่องของการกระทำ  ไม่ใช่บทบัญญัติกฎหมาย  จึงไม่ได้เป็นประเด็นว่าข้อความหรือถ้อยคำในการกล่าวถวายสัตย์ฯ มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ  และเมื่อเป็นการกระทำก็เห็นว่าไม่ใช่การกระทำทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง จึงมติให้ยุติเรื่องในส่วนของ 2 คำร้องนี้

 

 


2.มติให้ยุติเรื่องกรณี  พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส   หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย    ขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา  46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ  ว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่   เนื่องจากเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 252 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ ห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159  เว้นแต่ การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา 

 

 


นอกจากนี้มติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งถือเป็นบทยกเว้นมาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสาม แม้ไม่ได้บัญญัติยกเว้นมาตรา 159 วรรคสอง ไว้ด้วยก็ตาม แต่มาตรา 159 วรรคสอง เป็นเพียงกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอชื่อบุคคล   ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ดังนั้นการกระทำของ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา  จึงเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ได้มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และฟังไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจึงให้ยุติเรื่อง

 

 


และ 3.มติให้ส่งคำร้องของ นายภานุพงศ์ ชูรักษ์   นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง     พร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา  46   พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561   เพื่อให้วินิจฉัยว่าการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161  เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายภานุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เป็นผู้ยื่นคำร้องหรือไม่

 

 


โดยผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงมาว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว เป็นการกระทำที่ครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอน ถือว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ปฏิบัติสำเร็จโดยสมบูรณ์ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย แต่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ระบุ“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้...” 

 

 


แต่เมื่อถ้อยคำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้  จึงอาจเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย รวมถึงมีปัญหา ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของนายภาณุพงศ์ในฐานะผู้ร้องเรียน เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนหรือโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และเป็นไปตามนัยมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ

 

 


@ โดยขั้นตอนก็คงเป็นไปตามกระบวนการทั้งหมดนี้   แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบ   ก็คือ ท่าทีของนักการเมืองที่จุดเรื่องนี้ขึ้นมา ว่าจะขยายความไปในทิศทางไหน 

 

 


ตัวอย่างสำคัญ  คงหนีไม่พ้น  นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่   ที่ดูเหมือนจะยังคงคาใจในพิธีการเข้ารับพระราชดำรัส พร้อมลายพระหัตถ์ ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์    เพราะมีการใช้คำพูดทำนองว่า อดีตที่ผ่านมา  สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา   นายกรัฐมนตรี   ก็ได้มีการขอพระบรมราชานุญาต   นำพระราชดำรัสมาตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนำแจกจ่ายแก่ ครม. ทุกคน  เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำงาน เพียงแต่ในกรณีของพล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิธีดังกล่าว  ซึ่งต้องถือว่าไม่ใช่การถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ 

 

 

 


กล่าวโดยนัยแล้ว  นายปิยบุตรยังคงค้างคาใจ   ขั้นตอนการถวายสัตย์ของพล.อ.ประยุทธ์  เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562   ว่า  มีความสมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่  และต้องรอกระบวนการจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน  ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  แม้จะอ้างว่าส่วนตัวยืนยัน  เรื่องนี้ไม่ได้หวังล้มรัฐบาล  แต่ต้องการความแน่นอนชัดเจน เพื่อให้ครม. ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น

 

 

ส่วนขั้นตอนการอภิปรายในสภาผู้แทนฯตามมาตรา 152   นายปิยบุตร   กล่าวแต่เพียงว่า  ยังไม่มีการหารือกับพรรคเพื่อไทย เนื่องจากสัปดาห์นี้ไม่มีการประชุมสภา  แต่พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าแม้ผู้ตรวจการแผ่นดิน  ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว แต่สภาผู้แทนราษฎรยังสามารถพิจารณาญัติติดังกล่าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาก่อน ซึ่งเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ซึ่งรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากันไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร

 

บทสรุปปมถวายสัตย์ ต้องรอวินิจฉัยศาลรธน. คาใจ“ปิยะบุตร”เดินหน้าส่งซิกถล่ม ”นายกฯตู่" ???

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต ??
-ศาลฎีกาพิพากษากลับ สั่ง จตุพร-ณัฐวุฒิ-อริสมันต์ ชดใช้เงิน 19.3 ล้าน ฐานยุยงคนเสื้อแดงเผาเมือง
-“ยุทธพงศ์” อดีตคนปชป. วันนี้ยกคำ เพื่อไทย ไม่รับใช้ทหาร ลุยเอาผิด 2 ส.ส.บุรีรัมย์ เพราะแสดงน้ำใจกับ ”บิ๊กตู่” ดูแลชาวบ้านในพื้นที่!??
-แฉบางพรรคระดมสมาชิกเข้ากลุ่มมิตรภาพรัฐสภาระหว่างปท.ฉวยโอกาสใช้เป็นเวทีการเมือง สุดพิลึก!สส.หลายคนไม่รู้เรื่อง