ธนาธร อ้างบังเอิญเจอ โจชัว หว่อง  โบ้ยภาพถ่ายคู่ถูกนำขยายสร้างความเกลียดชัง...ดูกันยาวๆ ระวังกระทบธุรกิจ ไทยซัมมิท ในจีน

@ก่อเกิดเป็นกระแสทางการเมืองสุดแรงในขณะนี้ จากกรณีเพจเฟซบุ๊ค Chinese Embassy in Bangkok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เผยแพร่ถ้อยแถลงของโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย บางช่วงกล่าวถึงการแสดงออกของนักการเมืองไทย ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฮ่องกง โดยใจความในช่วงสุดท้าย มีสาระสำคัญสะท้อนให้รู้ความรู้สึกของบุคลากรที่อยู่ในฐานะตัวแทนรัฐบาลจีนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุด

@ก่อเกิดเป็นกระแสทางการเมืองสุดแรงในขณะนี้  จากกรณีเพจเฟซบุ๊ค   Chinese Embassy in Bangkok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย   เผยแพร่ถ้อยแถลงของโฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย   บางช่วงกล่าวถึงการแสดงออกของนักการเมืองไทย ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฮ่องกง โดยใจความในช่วงสุดท้าย  มีสาระสำคัญสะท้อนให้รู้ความรู้สึกของบุคลากรที่อยู่ในฐานะตัวแทนรัฐบาลจีนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุด

"ความผันผวนที่มาจากการต่อต้านการแก้ไขกฎหมายในฮ่องกงได้เปลี่ยนตัวไปอย่างสิ้นเชิง กำลังพัฒนาเป็น "การปฏิวัติสี" โดยได้รับการแทรกแซงจากกลุ่มอิทธิพลภายนอก กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน ได้ใช้ประชาธิปไตยและเสรีภาพเป็นข้ออ้าง   เพื่อทำลายหลักการพื้นฐานของ "หนึ่งประเทศสองระบบ" บ่อนทำลายอธิปไตยและความบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศจีน  ซึ่งฝ่ายจีนคัดค้านอย่างเด็ดขาด

 

ธนาธร


นอกจากนี้กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน  ยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก  เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย"

 

 

@น่าสนใจว่าทันทีที่มีการเผยแพร่ข้อความดังกล่าว ได้ก่อเกิดปฏิกริยาอย่างกว้างขวางในสังคมไทย  โดยเฉพาะการชี้ประเด็นไปที่พฤติกรรมของ ธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ  ในการไปปรากฎตัวกับ โจชัว หว่อง  นักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการแยกประเทศฮ่องกงเป็นอิสระจากรัฐบาลจีน  และ โจชัว หว่อง ยังได้ให้ข้อมูลด้วยว่า มีการแลกเปลี่ยนสถานการณ์การเมืองหลายเรื่องกับ ธนาธร   

 

โจชัว หว่อง


โดยเฉพาะการที่ โจชัว หว่อง แสดงความชื่นชมการทำงานการเมืองของ ธนาธร ในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่  ทำนองว่าเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการต่อสู้ทางการเมืองที่ควรได้รับการยกย่อง ในฐานะขั้วอำนาจที่ 3 ในเวทีการเมืองไทย


และจุดสำคัญ โจชัว หว่อง ก็รู้ว่าการแสดงออกดังกล่าว รวมถึงรายละเอียดของการแลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองของคนทั้งคู่   อาจก่อเกิดปัญหากับตัว ธนาธร   ถึงขั้นเอ่ยปากไม่แน่ใจว่า ต่อไปธนาธร จะได้รับการอนุญาตให้เข้าฮ่องกงอีกหรือไม่

 

 

ธนาธร โจชัว หว่อง

แต่ในทางกลับกัน ธนาธร กลับไม่รู้สึกกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตรงข้าม ธนาธร ได้หยิบยกประเด็นสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในฮ่องกง  ไปเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุย  ในเวที Open Future Forum ว่า    ฮ่องกงคือแรงบันดาลใจให้เขาและทีมงาน  ตัดสินใจเดินเข้าสู่สนามการเมือง  เพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามประชาธิปไตย  ก่อนจะเลือกก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่  แทนการจัดตั้งเป็นขบวนการ ด้วยไม่แน่ใจเรื่องความพร้อมของขบวนการภาคประชาชน  

 


@ ทีนี้มาดูปฏิกริยาที่เกิดขึ้นกับถ้อยแถลงของ  โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย   ปรากฎว่ากับเพจเฟซบุ๊ก   Chinese Embassy  in  Bangkok  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย

 

 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย


ล่าสุดมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นมากกว่า 4 พันรายการ  และถูกแชร์ไปเกือบ 5 พันครั้ง   โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ของผู้แสดงความเห็น หรือ  คอมเม้นต์   ขอให้รัฐบาลจีนเข้าใจในเหตุปัญหาที่เกิดขึ้น ว่า เป็นเรื่องของบุุคคล หรือ นักการเมืองบางคน ที่กำลังสร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ที่มาอย่างยาวนานหลายสิบปี  

 


รวมถึงยังฝากไปถึงประชาชนชาวจีน ได้ร่วมกันรับรู้ว่าพฤติการณ์ของนักการเมืองไทยบางคน  ไม่อาจบ่อนทำลายมิตรภาพระหว่างคนไทยกับคนจีนที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษกาลได้  

 


ที่สำคัญหลายเสียงประชาชนคนไทยยังยืนยันผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊ก  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย  ด้วยว่า   จะร่วมกับทางการจีนในการต่อต้านพฤติการณ์ของนักการเมืองไทยบางคน ที่แสดงตัวให้รู้ว่าสมคบคิดนักเคลื่อนไหวที่ปลุกระดมชาวฮ่องกงให้ต่อต้านรัฐบาลจีน ภายใต้ความสุขสงบที่มีมาอย่างยาวนาน  

 


@ แน่นอนว่าเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในปฏิกริยาที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองไทยเพียงคนเดียว   เลือกจะใช้วิธีประชาสัมพันธ์ตัวเองสู่เวทีโลก  โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา   แม้กระทั่งชะตากรรมทางธุรกิจของครอบครัว   

 

กรณีดังกล่าว  ดร.ศุภณัฐ  อภิญญาณ  หรือ  "ดร.นิว"   นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย  MAST Center  และ   คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา  โพสต์แสดงความเห็นในลักษณะเปิดประเด็น  ว่า  #For  your  Information Please  ช่วยกันแชร์ให้ถึง...ท่านสี จิ้นผิง...นะครับ  #แล้วแต่ท่านสีจะสะดวกครับ  ผมไม่เกี่ยวนะ...ผมแค่เดินผ่านมา  พร้อมกับเช็คข้อมูลให้ท่านสีเพียงเล็กน้อย

 


ทั้งนี้ในโพสต์ดังกล่าวมีการแนบลิงค์  http://www.thaisummit.co.th/en/About-TSG/Global-reach.html แสดงให้เห็นเครือข่ายทางธุรกิจของ กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท กรุ๊ป   ซึ่งมีความเชื่อมโยงด้านการลงทุนในหลายประเทศ  ทั้ง  ญี่ปุ่น , อินเดีย , อินโดนิเซีย  , เวียดนาม ,  สหรัฐ  และ จีน 

 

โดยในส่วนการลงทุุนกับจีน  พบว่า  ไทยซัมมิท กรุ๊ป   มีการเปิดบริษัทธุรกิจข้ามชาติ ในรูปโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ ด้วยขนาดพื้นที่โรงงานถึง 82,350 ตารางเมตร  ในชื่อ  Fuzhou Ogihara Thai Summit Co., Ltd.  หรือ  ฝูโจว  โอกิฮาร่า   ผลิตส่วนประกอบของรถตู้ Benz รุ่น VITO และ VIANO    และใช้มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น  52.5  ล้านเหรียญสหรัฐ   หรือ ประมาณ 1,575 ล้านบาท ส่วนทุนจดทะเบียนมีมูลค่า 18.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ  ประมาณ 555 ล้านบาท  มีอัตราการถือหุ้นระหว่างญี่ปุ่นกับไทย ในสัดส่วน  51 ต่อ  49  % 

 


ส่วนอีกหนึ่งบริษัทธุรกิจ  คือ    Changshu Thai Summit Ogihara Automotive Co., Ltd. ไม่มีการแสดงรายละเอียดเรื่องข้อมูลการลงทุน   เพียงแต่ปรากฎข้อมูลว่าเป็นหนึ่งธุรกิจของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฉาวโจว  มณฑลเจียงซู  ประเทศจีน  

 


@ ลำดับความมาเท่านี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า  เป็นเรื่องอ่อนไหวมากในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  และกับธุรกิจของครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ  แม้ว่า   ธนาธร   จะออกมาร่ายยาวชี้แจงเหตุปัญหาที่เกิดขึ้น จากการไปมีภาพร่วมเฟรมกับโจชัว  หว่อง  และ โจชัว หว่อง  เลือกจะนำมาขยายรายละเอียดผ่านสื่อออนไลน์ด้วยตัวเอง  


ใจความสำคัญจริง ๆ  ที่ธนาธร  นำมาชี้แจงในลักษณะอธิบายเชิงตอบโต้ข้อกล่าวหา  เน้นย้ำว่า การไปปรากฎตัวร่วม  โจชัว หว่อง  เป็นเรื่องบังเอิญ   และมีโอกาสได้คุยกันเพียงประมาณ 5 นาที ก่อนจะถ่ายรูปและแยกย้ายกันไป  โดยตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกลุ่มการเมืองในฮ่องกง    


แต่ขณะเดียวกัน ธนาธร  ก็ยอมรับว่า ได้พูดเรื่องฮ่องกงบนเวที  Open Future Forum โดยนำเสนอความคิดเพียงแค่บอกเล่าว่า  ในช่วงปี 2560  ตัดสินใจจะตั้งพรรคการเมือง เพราะต้องการยุติการสืบทอดอำนาจระบอบคสช.   ควบคู่ไปกับการสร้างโมเดลการเคลื่อนไหวทางสังคม  จากการมองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในฮ่องกง   แต่สุดท้ายก็เลือกตั้งพรรคการเมือง เพราะคำนึงถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นในปี  2553  


สำคัญที่สุด ธนาธร ระบุด้วยว่ามีแนวคิดสนับสนุน การเคารพธรรมนูญการปกครองฮ่องกงหรือ  Basic Law  ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อฮ่องกงถูกส่งคืนสู่เขตอำนาจอธิปไตยของจีน โดยยึดหลัก “หนึ่งประเทศ สองระบบ” อย่างสมดุล และเคารพสิทธิการเลือกตั้งผู้บริหารฮ่องกงอย่างเป็นประชาธิปไตยตามที่ระบุไว้ใน Basic Law มาตรา 45


รวมถึงยังสนับสนุนการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน   ในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกโดยสันติ และปรารถนาจะเห็นสถานการณ์ที่ฮ่องกงคลี่คลายไปได้ด้วยดี  ส่วนรูปถ่ายระหว่างตนเองกับโจชัว หว่อง เพียงภาพเดียวเป็นเหตุกรณีที่ถูกนำมาขยายความต่อเกินความจริง โดยความพยายามเชื่อมโยงกับความไม่สงบในฮ่องกง  เพื่อสร้างความเกลียดชังในสังคมไทยเท่านั้นเอง

@ กรณีนี้ถ้าจะย้อนแย้งพฤติการณ์ของ ธนาธร   กับคำแก้ตัว  คงพูดกันยาวเหยียด   เพราะโดยภาพปรากฎ   ระหว่าง  ธนาธร   กับ   โจชัว  หว่อง     จนนำไปสู่ความรู้สึกที่เกิดกับ   โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีน  ประจำประเทศไทย   ย่อมไม่ใช่เรื่องไร้น้ำหนักในเชิงการทูต   หรือ    โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย   จะไม่มีข้อมูลเชิงลึกใด ๆ เลย    ก่อนสรุปเป็นแถลงทางการออกมานำเสนออย่างเป็นทางการผ่านหน้าเฟซบุ๊กหลักของ  สถานเอกอัคราชทูตจีนประจำประเทศไทย   หรือ Embassy of the people's Republic of Chaina in The Kingdom of Thailand  และ  เพจ Chinese Embassy in Bangkok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย   

 

เอกอัครราชทูต

 

ดังบริบทที่ปรากฏชัดเจนว่า  ความตอนหนึ่งว่า “กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน  ยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก  เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ”

 

 


แต่กลับปรากฏว่าประเด็นสำคัญสุดจากสิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกจากทางการจีน   ดูเหมือนว่า  ธนาธร   จะพยายามไม่พูดถึงหรือชี้แจงตรงๆ     แต่กลับเลือกจะใช้เวทีส่วนตัว  โต้ตอบสื่อ และผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงของไทย    แทนการชี้แจงโดยตรงกับ    โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีน  ประจำประเทศไทย

 

 

 

ทั้ง ๆ ที่โดยแท้จริงแล้วกรณีที่เกิดขึ้นนี้  ไม่ใช่เป็นประเด็นปัญหาการเมืองภายในประเทศต่อไปแล้ว   เฉกเช่นที่   ดร. สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์ สถาบันทิศทางไทย และอดีตอาจารย์ ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   ตั้งคำถามกลับไปถึง  ธนาธร  ด้วยข้อความว่า " ธนาธรต้องทราบว่าการเมืองไทยเป็น  Politics of Perception  เรื่องจะไม่บานปลายขนาดนี้   ถ้าเพจของสถานทูตจีนในประเทศไทยไม่ออกมาตำหนิพฤติกรรมของธนาธรโดยตรง ... วิกฤตฮ่องกงเป็นเรื่องที่ sensitive มากของจีน จากคำชี้แจงของธนาธรแสดงว่าตัวเขายังไม่ตระหนักมากพอถึงประเด็นนี้"

 

 

ทั้งหมดนี้จึงน่าติดตามยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากท่าทีของทางการจีน ต่อนักการเมืองที่มีเจตนาเคลื่อนไหวนำไปสู่การบั่นทอนความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างไทยกับจีน  และรวมถึงธุรกิจมูลค่ามหาศาลที่เกี่ยวโยงกับใครก็ตาม ที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในเชิงการทูต  ซึ่งหลายๆประเทศได้รับบทเรียนมาก่อนหน้านี้แล้ว!!

 

โจ ชัวหว่อ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-ธนาธร เคลื่อนไหว หลังภาพถ่ายคู่ โจชัว หว่อง เชื่อมโยงความไม่สงบ
-ธนาธร ร่วมเฟรม โจชัว หว่อง ระวัง ชักศึก(จีน)เข้าบ้าน พูดเต็มปาก ฮ่องกง เป็นแรงบันดาลใจ?
-แกะคำพูด ธนาธร 18 มี.ค. ชวนเชื่อทำ Blind trust ที่สุด(เลือก)ไม่ทำ..แถมยังผ่องถ่ายหุ้นวิธีอื่น ชัดพอมั้ยให้สงสัยเจตนาทำผิด?
-เมื่อ ธนาธร เลือกเบี้ยวโอนทรัพย์สิน Blind Trust หน้าที่กกต.ต้องเร่งสอบเข้าเงื่อนไข คำร้องทำผิด พรป.เลือกตั้งหรือไม่?