น.ส.พรรณิการ์ วาณิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้ใช้ศูนย์พรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายกล่าวหาการทุจริตกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ว่ามีความเชื่อมโยงกับประเทศไทย ในประเด็นเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ส่อว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือรัฐบาลนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการควบคุมตัว พยานคนสำคัญในลักษณะเพื่อขัดขวางการสอบสวนคดีดังกล่าว และช่วยเหลือผู้กระทำผิด ทั้งๆที่มีหมายจับ

น.ส.พรรณิการ์ วาณิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้ใช้ศูนย์พรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายกล่าวหาการทุจริตกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ว่ามีความเชื่อมโยงกับประเทศไทย ในประเด็นเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ส่อว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือรัฐบาลนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการควบคุมตัว พยานคนสำคัญในลักษณะเพื่อขัดขวางการสอบสวนคดีดังกล่าว และช่วยเหลือผู้กระทำผิด ทั้งๆที่มีหมายจับ

ล่าสุดรองผบช.สตม.แจงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช อภิปรายนอกสภาและพาดพิง สตม.ระบุหายเสียหายจ่อดำเนินการ ซึ่งที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบช.สตม. ได้แถลงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคอนาคตใหม่ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภา กล่าวหาว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว. กลาโหม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องคดี 1MDB และมีการพาดพิงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

 

กรรมจัดสรร รองผบช.สตม.แจงยิบ ช่อ กรรณิการ์ มั่วขัอมูลคดี 1MDB หวังชิ่งกระทบนายกฯตู่


โดย พล.ต.ต.สุรพงษ์ กล่าวว่ากรณี นส.พรรณิการ์ วานิช ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2563 ที่ศูนย์ประสานงานพรรคอนาคตใหม่ ฝั่งธนบุรี มีประเด็นที่พาดพิงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง   สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

1. กรณี กล่าวว่า นายซาเวีย จัสโต  (MR.XAVIER  JUSTO) สัญชาติสวิสเซอร์แลนด์ ถูกดำเนินคดีและจำคุกในข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์  โทษจำคุก 6 ปี รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงเหลือ 3 ปี  แต่เมื่อรับโทษเรียบร้อยแล้ว ถูกเนรเทศ  ติด Blacklist  ถึง 100 ปี  (ตั้งแต่ปี 2016 – 2116)  ทั้งที่คดียาเสพติด ติด Blacklist เพียง 50 ปี

พล.ต.ต.สุรพงษ์ กล่าวว่า ในกรณีนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า นายซาเวีย จัสโต ได้เดินทางเข้า-ออก จำนวน 30 ครั้ง  โดยเดินทางเข้า ครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2557 และเข้าครั้งสุดท้าย วันที่ 12 มี.ค. 2558 ต่อมา ถูกดำเนินคดีในข้อหารีดเอาทรัพย์ ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษา ลงโทษจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2558  


ต่อมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ลงบันทึกเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และผลักดันส่งกลับออกไป เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2559 ซึ่งการลงบัญชีบุคคลต้องห้ามฯ ดังกล่าว ในระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง   มีการออกแบบในช่องบันทึกเป็นตัวเลข 1 , 5 ,10 ,20 และ 100 ปี  ซึ่งกรณีของนายซาเวีย  เป็นการห้ามเข้าราชอาณาจักรตลอดชีวิต  จึงลงบันทึก ในช่องสูงสุด คือ 100 ปี ซึ่งปัจจุบัน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อยู่ระหว่างการพัฒนาแก้ไขรูปแบบการบันทึกดังกล่าวให้เป็นตัวอักษร

2. กรณี นส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นายโจโล นักธุรกิจสัญชาติมาเลเซีย  ถูกทางการสิงคโปร์ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดง ติดตามตัว เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2559แต่ในบันทึกการเดินทางเข้าออกของไทย  นายโจโลสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวเข้าออก ได้ถึง 5 ครั้ง

พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชี้แจงว่า  จากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  พบว่า นายโจโล มีการเดินทางเข้าออกประเทศไทย รวม 54 ครั้ง โดยครั้งแรก เดินทางเข้ามาเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2556  และเดินทางเข้ามาครั้งสุดท้าย วันที่ 10 พ.ค.2561 และต่อมาเดินทางออกครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2561 ซึ่งในระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  ปรากฏข้อมูลหมายจับ ตำรวจสากล  ของนายโจโล เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2562  จำนวน 2 หมายจับ เป็น หมายจับของประเทศสิงคโปร์ 1 หมายจับ และหมายจับของประเทศมาเลเซีย 1 หมายจับ  ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังจากที่นายโจโล ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทยครั้งสุดท้ายแล้ว

3. กรณีกล่าวว่า  นายตัง เคง ฉี  (MR.TANG KENG CHEE) หนึ่งในเครือข่ายของนายโจโล  เป็นบุคคลที่ถูกสอบสวนจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ  และถูกออกหมายแดงแต่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยจนวีซ่าหมดอายุ  และมาขอต่อวีซ่า  ตม.พบว่า มีชื่ออยู่ใน Watch list  แต่ยังขอต่อวีซ่าในไทยให้อีก 14 วัน และเดินทางออกจากประเทศได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีข้อมูลการเดินทางออกจากราชอาณาจักร โดยไม่ทราบว่าออกไปโดยช่องทางใด

พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นายตังเคงฉี เดินทางเข้าออกประเทศไทย รวม 23 ครั้ง  โดยเดินทางด้วยบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) และได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นพิเศษ (Privilege Entry Visa)  อายุวีซ่า 5 ปี โดยครั้งแรกเดินทางเข้ามา เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2560 และเข้าครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2561  แต่ไม่ได้ใช้วีซ่าดังกล่าวข้างต้น  โดยใช้ สิทธิเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน (ผ.30)  

แต่เมื่อครบกำหนด  นายตัง เคง ฉี มิได้เดินทางออกจากประเทศไทย  จึงมีความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด  พนักงานสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้ยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับและศาลแขวงปทุมวัน ได้อนุมัติหมายจับที่ 96/2561 ลง 17 ก.ย.2561 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้บันทึกบัญชีบุคคลเฝ้าดู (Watch list) ไว้ในระบบสารสนเทศฯ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2561 และ วันที่ 13 ต.ค. 2561  ขณะนี้ อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุมนายตังเคงฉี มาดำเนินคดีต่อไป 

 
พล.ต.ต.สุรพงษ์ ยังชี้แจ้งต่อว่าจากการตรวจสอบ หมายจับตำรวจสากล ในระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นายตังเคงฉี มีหมายจับของประเทศมาเลเซีย โดยปรากฎข้อมูลหมายจับ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2562 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลัง ที่นายตังเคงฉีเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย จึงสามารถเดินทางได้


สำหรับวีซ่า เดินทางด้วยบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) บัตรนี้มีครั้งแรก ตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 7 พ.ย.2546 (ตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 16 ก.ย.25๔6) ในสมัย รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ทักษิณ  ชินวัตร และครั้งที่ 2 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อ 14 มี.ค. 2556 (ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2555)  ในสมัย รัฐบาล นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


4. กรณี กล่าวว่า นาง ลู ไอ ซวอน (MRS. AI SWAN LOO) หรือ จัสมินลู  ทนายความของนายโจโล  มีชื่ออยู่ใน Watch list จากคำสั่งเฝ้าระวังของ รอง ผบ.ตร. แต่ยังสามารถเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่องทางปกติได้ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2561 โดยไม่มีการแจ้งเตือนรอง ผบ.ตร. ตามคำสั่ง  และจากการตรวจสอบครั้งแรก เมื่อเดือน พ.ย.2562 พบว่ามีข้อมูลเดินทางเข้าออก 36 รายการ  แต่เมื่อตรวจสอบครั้งที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค.2563 พบว่ามีข้อมูล 14 รายการ  ปรากฎว่าข้อมูลเดินทางหายไป 22 รายการ


พ.ต.ต.สุรพงษ์ ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า ข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยของ นางจัสมิน ลู ไม่ได้ถูกลบรายการแต่อย่างใด  โดยพบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทย รวม 68 ครั้ง  โดยครั้งแรกเดินทางเข้ามา เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2556 เดินทางเข้าครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2561  และเดินทางออกครั้งสุดท้ายเมื่อ 7 ก.ย. 2561  แต่หมายจับตำรวจสากล ปรากฎในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่นางจัสมินลู ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทยครั้งสุดท้ายแล้ว

 


พล.ต.ต.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่ น.ส.พรรณิการ์  ได้ไปนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทางฝ่ายกฎหมายกำลังตรวจสอบว่าเป็นการทำให้ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเสียหายหรือไม่ ถ้าเกิดความเสียหายทางฝ่ายกฎหมายก็จะดำเนินการต่อไปส่วนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องของทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีการนำไปพูดถึง ทางสำนักงานก็กำลังตรวจสอบอยู่เหมือนกันว่ามีผู้ใดให้ข้อมูลไป

 

กรรมจัดสรร รองผบช.สตม.แจงยิบ ช่อ กรรณิการ์ มั่วขัอมูลคดี 1MDB หวังชิ่งกระทบนายกฯตู่