AQ Estate

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tnew.co.th

บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2560 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 54.66 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 223.94% จากช่วงเดียวกันของเมื่อปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 16.87 ล้านบาท ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรก มีผลขาดทุนสุทธิ 116.62 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 3.81%

จากผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าว สาเหตุที่ขาดทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 533.05 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 91.76 เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ในช่วงที่มีเงินลงทุนจำกัด ทำให้ต้องชะลอการก่อสร้าง เป็นผลให้สินค้าของบริษัทฯ มีจำนวนน้อย จึงส่งผลโดยตรงกับยอดขายที่ลดลงในงวดปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2559 บริษัทฯ มีการขายโครงการใหญ่จึงทำให้ยอดขายสูงกว่างวดปัจจุบัน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายของบริษัทฯ ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 63.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนร้อยละ 86.72 เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการชะลอการลงทุนในการเปิดโครงการใหม่ และมีการพิจารณาลงโฆษณาในสื่อที่ตรงเป้าหมายมากที่สุด

โดยก่อนหน้านี้ นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ ประธานกรรมการบริษัท AQ ระบุว่า บริษัทฯ จะนำส่งงบการเงินประจำไตรมาส 2/2560 ให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทันทีเมื่อผู้ตรวจสอบให้การรับรองงบการเงิน และคาดว่าภายหลังจากส่งงบการเงินแล้วหุ้น AQ จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทันที

ในขณะที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2560 มีมติให้ยกเลิกการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือ 27,360,000,000 หุ้น จากการออกหุ้นทั้งหมดจำนวน 100,000 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)ซึ่งได้จัดสรรไปแล้วจำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 72,640,000,000 หุ้น และให้ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ที่จดทะเบียนทุนชำระแล้วปัจจุบันจำนวน 85,314,683,535 หุ้น เป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 4 (AQ-W4) จำนวนไม่เกิน 56,337,341,768 หน่วย ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิม ได้รับ AQ-W4 จำนวน 1 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยทางคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ วันที่ 24 ต.ค. 2560 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับจัดสรร AQ-W4

คณะกรรมการเล็งเห็นว่า ทางบริษัทฯ ได้มีการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงไปแล้วจำนวน 72,640 ล้านหุ้น ในขณะที่จำนวน ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ก่อนการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงมีจำนวน 12,673.97 ล้านหุ้น ปัจจุบันจะเกิดทั้ง Price Dilution เท่ากับ 65.79% (เทียบจากฐานราคาปิด 0.22 บาท) และ Control Dilution เท่ากับ 85.15% เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิม จึงนำจำนวนหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ไปจัดสรรเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ แทน โดยมั่นใจว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ทั้งนี้เงินที่ได้รับมาจากการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด บริษัทฯ ได้นำไปชำระค่าเสียหาย ต่อธนาคารกรุงไทยแล้ว จำนวน 1,635.735 ล้านบาท เพื่อหยุดการบังคับคดี กับทรัพย์สินของบริษัทฯ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของธนาคารกรุงไทยบังคับคดีเรื่องที่ดิน 4,300 ไร่ หากบังคับคดีแล้ว ได้เงินไม่ถึง 8,368.73 ล้านบาท ทางบริษัทจะจ่ายเงินส่วนขาดดังกล่าวเพิ่มเติม โดยแนวทางการชำระหนี้ที่กำลังเจรจาอยู่ในปัจจุบันคือการขายทอดตลาดที่ดิน โดยที่ดินได้รับการประเมิณราคาบังคับขายไว้เท่ากับ 5,800 ล้านบาท ซึ่งหากที่ดินบังคับขายได้ตามราคาประเมิณ บริษัทฯ จะต้องจ่ายหนี้เพิ่มอีก 2,500 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯ จะยังมีเงินจากการเพิ่มทุนเหลืออีกประมาณ 1,900 ล้านบาท

ดังนั้น กรณีที่บริษัทฯ ไม่ต้องการซื้อที่ดิน 4,300 ไร่ บริษัทฯ จะต้องเพิ่มทุนอีก 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าผู้ถือหุ้นเดิมน่าจะสามารถจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนดังกล่าวได้ เพราะเท่ากับภาระหนี้ของธนาคารกรุงไทยทั้งหมด บริษัทฯ สามารถชำระหนี้ได้ทั้งจำนวนแล้ว