- 11 ก.พ. 2560
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : http://www.tnews.co.th/
เกี่ยวกับประเด็นเครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ตอนนี้ยังมีประเด็นที่เข้าไปเชื่อมโยงกับปัญหาความรุงแรงที่เกิดขึ้นทางภาคใต้อีกด้วย จึงทำให้สังคมนั้นสนใจและติดตามประเด็นดังกล่าวนี้เป้นจำนวนมาก
10 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีหนึ่งในเครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่อาจมีความเชื่อมโยง และอาจเป็นท่อน้ำเลี้ยงแก่ผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ว่า จะต้องรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีช่องทางติดต่อกันอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีตำรวจมาเลเซียจับกุม 6 ผู้ต้องสงสัยได้ที่รัฐกลันตัน ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และ 1 ใน 6 คนนั้น อาจต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมกับกลุ่มบีอาร์เอ็นในภาคใต้ของไทย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทางการมาเลเซีย พร้อมประสานข้อมูลกับไทย แต่มาเลเซีย มีการออกฎหมายใหม่ทำให้ไม่สามารถเผยแพร่ข้อมูลผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสได้ และขณะนี้ทางการไทย ยังไม่พบข้อมูลว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) นายศิรินยาทร์ สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติด หลังจากวานนี้ตำรวจปราบปรามยาเสพติด 5 และ ปปส.ทำการสืบสวนขยายผลจับกุมนายจิตรภานุ แซ่เฮง และนางบุหรัน สืบธารี ภรรยาของนายมามะรุสสัน ดรอแมผู้ค้ายาเสพติดเครือข่ายอุสมาน สะแรแม ที่เป็นคู่ค้ากับนายไซซะนะ แก้วพิมพาซึ่งถูกจับไปก่อนหน้านี้
โดยการจับกุมสามารถตรวจยึดทั้งเงินสดไทยและสกุลมาเลเซีย 52 ล้านบาท รถยนต์ ที่ดิน บ้านพัก ทองรูปพรรณ รวมมูลค่ากว่า 68 ล้านบาท จากการสืบสวนพบว่านายมามะรุสสันเป็นผู้ส่งเงินให้นางบุหรันนำไปซื้อทรัพย์สิน และนางบุหรันให้การรับสารภาพว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดจริง
ทั้งนี้ในทางสืบสวนของ ปส.และ ปปส.พบว่า นายมามะรุสสันเป็นลูกน้องของนายอุสมาน ซึ่งเป็นคู่ค้ายาเสพติดกับนายไซซะนะและนายไซนุเด็งที่ทางการมาเลเซียจับกุมได้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนคดีที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 จับกุมยาเสพติดได้กว่า 2 เม็ดในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลลำผักชีเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างการขยายผลว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับขบวนการใด
ปฏิบัติการ "ชัยยะ สยบไพรี" ที่นำมาสู่การจับกุม "นายไซซะนะ แก้วพิมพา" นักค้ายาเสพติดชาวลาว ซึ่งมีเครือข่ายกว้างไกลลำดับต้นๆ ของอาเซียนนั้น ไม่ใช่เรื่องฟลุคหรือจับโดยบังเอิญ แต่มาจากการแกะรอย และเก็บรวบรวมพยานหลักฐานมานานถึง 5 ปี
ซึ่งตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่เฝ้าเกาะติดผู้ต้องหาคนสำคัญ สืบเนื่องจากพบการกระทำผิดระหว่างวันที่ 28 ก.ย.59 - 21 ม.ค. 60 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อ นายชุมพร พนมไพร และนายไกรราช สุภาพ ที่มีพฤติการณ์ลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่ประเทศลาว ด้านติดต่อกับ จ.หนองคาย เข้ามาจำหน่ายให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ และประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีนายทรรศพล พลธี , นายไพฑูรย์ ทองเสม ( ซึ่งเป็นพี่เขยของนายนายไกรสร สุภาพ) และน.ส.เกศญาณัฐฐ์ ธงวาด ( ภรรยาคนที่ 2 ของนายไพฑูรย์) ผู้เกี่ยวข้องในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ส่งมอบให้ลูกค้าตามคำสั่งของนายชุมพร และนายไกรราช อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เฝ้าสังเกตการณ์มีคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมยาเสพติด และผู้ต้องหาให้การซัดทอดมรที่นายชุมพร และนายไกรราช โดยมีลักษณะเหมือนกันอยู่ 4 คดี พบว่ามีการจับกุมตั้งแต่ปี 2558 ต่อเนื่องถึง 2559
คดีที่ 1 วันที่ 16 กันยายน 2558 ตำรวจทางหลวงจับยาบ้า 2.3 ล้านเม็ดที่จังหวัดชุมพร สามารถจับกุม นายวิทยา หรือ วิท โสภา ชาวจังหวัดนครพนมได้ และขยายผลออกหมายจับอีก 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ นางสาวอ้อยทิพย์ ปัญญารักษ์
คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ตำรวจจับยาบ้า 6 แสน 4 หมื่นเม็ด พร้อมเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา จับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คน คือ นายกิตติศักดิ์ แก้วนา, นายปิยะ เครือหมื่น, นายพุทธรักษ์ เพ็งอินทร์, นายวิษณุพงษ์ ดวนลี และ นายชัยวัฒน์ ศรีปัญญา
คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 ตำรวจจับยาบ้า 1 ล้านเม็ดที่จังหวัดชุมพร ผู้ต้องหาคือ นายวิวัฒน์ชัย เดชสหโรจนธร, นายศักดา อัครศักดิ์ศรี และ นายชนระวิทย์ กลิ่นจันทร์
คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 ตำรวจจับยาบ้า 1 ล้าน 2 แสนเม็ดที่ด่านสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ผู้ต้องหาคือ นายทรรศพล พลธี กับ นายไกรราช สุภาพ จากนั้นขยายผลจับเพิ่มอีก 3 คนที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา คือ นายไพฑูรย์ ทองเสม เป็นพี่เขยนายไกรราช นางสาวเกศญาณัฐฐ์ ธงวาด เป็นภรรยาคนที่ 2 ของนายไพฑูรย์ และ นายนิอุสมัน ปะจู
นายนิอุสมัน ปะจู ที่ถูกจับในคดีที่ 4 เชื่อมโยงกับ นางสาวไรดา จาโก เครือข่ายยาเสพติดภาคใต้ตอนล่าง โดย นางสาวไรดา เป็นภรรยาชอง นายไซนูเด็ง มะ ที่มีเส้นสายโยงใยกับกลุ่มของนายวิวัฒน์ชัย ซึ่งถูกจับในคดีที่ 3 ทำให้เห็นภาพว่าผู้ต้องหาใน 4 คดีนี้ บางส่วนเกี่ยวข้องกัน
จากการถอดรหัส 4 คดี ทำให้ตำรวจออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 9 ราย เป็นคนไทย 7 ราย ต่างชาติ 2 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายไซซะนะ แก้วพิมพา
19 มกราคม 2560 ตำรวจปราบปรามยาเสพติดเปิดปฏิบัติการ "ชัยยะ สยบไพรี 60/1" สามารถจับกุม นายไซซะนะ ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยข้อมูลการเดินทางของนายไซซะนะ มาจากการซัดทอดของผู้ต้องหา 4 คดีแรก
วันเดียวกันนั้น ตำรวจขยายผลปิดล้อมอีก 36 เป้าหมายทั่วประเทศ และจับกุม นายชุมพร พนมไพร อายุ 42 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี, นายปุ่น ชรินทร์ อายุ 53 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร และ นางสาวอ้อยทิพย์ ปัญญารักษ์ อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาร่วมค้ายาเสพติดในคดีที่ 1 ก่อนโยงมาถึงแก๊งไซซะนะ
นายชุมพร พนมไพร เป็นตัวกลางเชื่อมโยงเครือข่ายนายไซซะนะทั้งหมด โดยเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับผู้ค้ายาเสพติด 4 คดีแรก โดยเฉพาะระดับหัวหน้าทีม
ต่อมาเจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการ "ชัยยะ สยบไพรี 60/2" เมื่อวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปิดล้อมตรวจค้นอีก 40 เป้าหมายทั่วประเทศ และสามารถจับกุมจิ๊กซอว์ตัวสำคัญอย่าง นายณัฐพล หรือบอย นาคคำ, นางสาวอรันญา สิงห์ผงาด และนายชัยวัฒน์ หรือแป๊ะ ชูสาย
โดยตำรวจมีข้อมูลว่าเครือข่ายนี้เชื่อมโยงกับคนในแวดวงไฮโซ และคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ก่อนจะพบข้อมูลเชื่อมโยงจนตามไปค้นร้าน Area 51 ของ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีของ แพท ณปภา ตันตระกูล ดารานักแสดงชื่อดังประเด็นที่ตำรวจตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนายเบนซ์ คือ ความสัมพันธ์กับนายบอย ณัฐพล ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงยาเสพติดให้กับนายไซซะนะ และรถลัมโบร์กินี่คันงาม มูลค่าถึง 20 ล้านบาท ซึ่งนายเบนซ์อ้างว่าเป็นของตน
จากกลุ่มบุคคลและเครือข่ายค้ายาที่มีนายไซซะนะเป็นหัวหน้าใหญ่ จะเห็นได้ว่าเขาใช้เส้นทางภาคอีสานของไทยเป็นจุดรับยาจากฝั่งลาว จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายเข้าสู่ภาคกลาง และขนลงภาคใต้
ซึ่งเส้นทางลำเลียงยาเสพติดของเครือข่ายนี้ พบมีฐานผลิตมาจากประเทศพม่า แล้วลำเลียงเข้าประเทศลาวเลาะแม่น้ำโขงก่อนจะข้ามฝั่งเข้าไทย กระจายในประเทศบางส่วน และก็ส่งต่อไปยังมาเลเซียนั้นเอง
นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า เส้นทางการค้ายาของเครือข่ายไซซะนะ เริ่มตั้งแต่แหล่งผลิตและจุดส่งยาจากประเทศเมียนมา โดยเขารับยาจากกลุ่ม "พันโทยี่เซ" แล้วลำเลียงผ่านลำน้ำโขงช่วงที่ติดพรมแดนลาว ส่งยาเข้าไปพักในลาว ที่เมืองมอม และเมืองต้นผึ้ง แขวงไซยะบุรี ก่อนจะลักลอบขนเข้าไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางเรือด้านจังหวัดนครพนม และทางรถยนต์ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่จังหวัดหนองคาย และนำมากระจายในประเทศไทย ขณะทีบางส่วนส่งลงภาคใต้ ปลายทางไปไกลถึงมาเลเซีย
ด้านพล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส.คือ ยาเสพติดจากเครือข่ายนายไซซะนะ จำนวนหนึ่งจะเคลื่อนลงใต้ โดยมีเครือข่ายค้ายาเสพติดชายแดนใต้รอรับ นั่นก็คือเครือข่ายของ นายอุสมาน สะแลแมง โดยอุสมานเป็นอีกแก๊งหนึ่งที่ขนยาจากลาวลงใต้
นายอุสมาน มีฐานใหญ่อยู่ในจังหวัดนราธิวาส รับยาเสพติดจากลาว ก่อนลำเลียงเข้าพื้นที่เพื่อกระจายยา และส่งข้ามไปมาเลเซีย ยาวไปถึงออสเตรเลียเม็ดเงินสะพัดจากการค้ายาเสพติดของนายอุสมาน มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เงินสดๆ เกือบ 10 ล้านบาทที่ซุกอยู่ในรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดได้จากบ้านเครือข่ายย่านสะพานสูง กรุงเทพฯ เมื่อปี 2548 โดยที่ไม่รู้ว่าในรถมีเงินซุกอยู่ใต้แผงประตู กระทั่งเรื่องมาแดงในปี 2552 เปิดแผงประตูออกมาเจอเงินสดๆ 9,998,000 บาท จนเป็นที่ฮือฮา
สำหรับนายอุสมาน นั้น มีพื้นเพอยู่ใน จ.นราธิวาส มีเครือข่ายกว้างขวางเชื่อมโยงระหว่างภาคเหนือ-ภาคใต้ และมาเลเซีย ถูกศาลจังหวัดหนองคายออกหมายจับที่ จ492/2548 ลงวันที่ 16 กันยายน 2548 ในข้อหาร่วมกันนำเข้าและครอบครองเพื่อจำหน่ายยาบ้า
ปัจจุบันนายอุสมาน กบดานอยู่ใน ต.ก้าวเลี้ยว อ.สีโคตรบอง กำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว และยังคงลักลอบส่งยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยนำเงินรายได้ก้อนโตจากการค้ายาเสพติดการสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
และนี่ก็คืออีกหนึ่งข้อมูลจาก เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ เจ้าหน้าสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่แกะรอยจนพบความเชื่อมโยงขบวนการค้ายาเสพติดเครือข่ายประเทศลาว น่าจะเป็นท่อน้ำเลี้ยง ให้กลุ่มก่อความไม่สงบในการสร้างสถานการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแหล่งพัก และทรัพย์สินของเครือข่ายต่างๆ หรือไม่ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป