- 27 ต.ค. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้(27 ต.ค.60)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานที่เคยเชื่อกันว่า “การขายข้าวเป็นบาป” เพราะข้าวเป็นของสูง การทำนาจึงทำเพื่อเลี้ยงชีวิต ให้ชาวบ้านหรือแบ่งปันเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่เมื่อโลกได้เปลี่ยนไป การทำนาในวันนี้เป็นเหมือนอุตสาหกรรมที่เป็นหน้าตาของประเทศ
ทำให้พื้นที่ของ “ทุ่งกุลาร้องไห้” กว่า 2 ล้านไร่ใน 5 จังหวัด ตั้งแต่ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร ที่จากเดิมเคยถูกมองว่าทุรกันดาร บัดนี้ถูกพัฒนาให้กลายเป็น “แหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในประเทศไทย” ที่ได้รับการยอมรับจากกรมการข้าวและกรมวิชาการเกษตรจนสร้างรายได้ให้ประเทศกว่าเจ็ดพันล้านบาทต่อปี
โดยเฉพาะพื้นที่ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ สภาพดินช่วงหน้าแล้งจะกระด้าง ปลูกได้อย่างเดียวคือข้าว แต่ก่อนก็ปลูกแต่ข้าวพันธุ์เดิมๆ พอมีข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และ กข. 15 นี่จึงเป็นความหวังเดียว ของ ทิดเลย์ หรือ นายภัทรพงศ์ บูรณะศิริศิลป์ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 180 บ้านเบง หมู่ที่ 2 ตำบลศรีณรงค์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา หรือฟ้าลิขิต ยุคราคาข้าวหอมมะลิตกต่ำ ได้พลิกผันตัวเองจากชาวนา ให้เป็น พีซีมือใหม่ หรือ พ่อค้ามือใหม่ โดยการนำเอาข้าวจากที่นาตัวเองมาสีที่โรงสีในหมู่บ้านแล้วทำการคัดแยก เพื่อไปขายให้กับผู้บริโภคโดยตรงที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
จากการรายงานของผู้สื่อข่าวในพื้นที่พบว่า ทิดเลย์หรือนายภัทรพงศ์ บูรณะศิริศิลป์ ได้นำข้าวจากที่นา ตัวเอง และได้รับซื้อจากบรรดาญาติพี่น้องเป็นบางส่วน โดยจากการใช้วิธีการรับซื้อถึงยุ้งข้าวของชาวบ้านโดยตรงโดยไม่ต้องขนไปขายที่โรงสีแต่อย่างใด
นายสิงห์ ทองมี อายุ 60 ปี ชาวนาบ้านเบง กล่าวว่า การที่มีคนมารับซื้อข้าวถึงที่บ้าน เป็นเรื่องที่ดีมากเพราะไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง ข้าวที่ขายไม่ได้หักความชื้นหรือหัก ส่วนต่างเหมือนกับที่ไปขายที่โรงสีใหญ่ และอยากให้มีการรับซื้อแบบนี้เป็นจำนวนมากๆซึ่งจะทำให้ชาวนาได้รับผลประโยชน์และไม่โดนเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง และผู้บริโภคจะได้รับประทานข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพสูง
ด้าน ทิดเลย์ หรือนายภัทรพงศ์ บูรณะศิริศิลป์ พีซีมือใหม่หัดขาย กล่าวว่า ข้าวที่ตนเองนำไปขายให้กับผู้บริโภคนั้นเป็นข้าวที่ปลอดสารพิษ เป็นข้าวที่ทำด้วยมือตัวเอง กับญาติพี่น้องที่รู้จักในหมู่บ้าน และใช้โรงสีในชุมชน ในการสีข้าว และการสี ข้าว แต่ละครั้งจะไม่ให้โรงสีขัดข้าวแรง จนเกินไป เพราะจะทำให้สารอาหารที่อยู่ในข้าวหอมมะลิหายไป จึงทำให้ข้าวที่ตนเองขายอยู่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ของ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้
ซึ่งเมื่อได้ทำการนำข้าวมาหุงจะมีกลิ่นหอม ชวนให้หลงใหลในการรับประทานซึ่งทำให้ผู้บริโภค ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งข้าวที่สีออกมาจะไม่มีการ “อบ มอด” แต่อย่างใดแต่จะมีการนำไปขายที่กรุงเทพมหานคร โดยตรงซึ่งสามารถพูดได้เต็มปากว่าข้าวปลอดสารพิษจริงๆ
และข้าวที่รับซื้อจากชาวนา ใน หมู่บ้านของตัวเอง และคนรู้จักในละแวกใกล้เคียงจะรับซื้อในราคาท้องตลาดแต่จะไม่มีการหักความชื้นหรือหัก ส่วนต่างแต่อย่างใด ข้าวที่นำไปขาย จากการสีแล้วจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 30-40 บาทต่อกิโลกรัม แล้วแต่คุณภาพของข้าวที่ขัดแยกออกมา หักค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันค่าเดินทางก็พอทำให้ตนเอง และครอบครัวพอมีเงินเหลือใช้เหลือเก็บบ้าง
( ภาพ ซิน กิเลน ทีมข่าวสุรินทร์นิวส์ )
เรียบเรียง ธนินท์ทัศน์ ภูแก้ว ผู้สื่อข่าวภูมิภาคสำนักข่าวทีนิวส์ จ.สุรินทร์