- 31 ต.ค. 2560
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีที่นายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี หมู่ที่ 2 ต.สามตำบล อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ได้นำชาวบ้านจาก อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช จำนวนกว่า 30 คน เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากจากผู้มีอิทธิพลหรือนายทุนเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเปิดสำนักงานทนายความ เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือ ชาวบ้านตกเป็นเหยื่อโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายสูงเกินจริง และอีกหลายรายถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาอีกด้วย และล่าสุดได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ใหญ่บ้านพร้อมชาวบ้านและสื่อมวลชนตกเป็นผู้ต้องรวม 20 รายหลังจากทนต่อความเดือดร้อนไม่ไหวเข้าร้องเรียน ขอความเป็นธรรมและช่วยเหลือจากสื่อมวลชนตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
(31 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มชาวบ้านที่ถูกฟ้องได้เข้าพบสื่อมวลชน โดยทุกคนระบุว่าแม้หลายคนจะโดนนายทุนเงินกู้นอกระบบคนดังกล่าวยื่นฟ้องทั้งแพ่งและอาญาหลายคดีและยังใช้อิทธิพลพยายามกดดันชาวบ้านทุกวิถีทาง จนชาวบ้านสุดที่จะทนไหวจะขอต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรจะสูญเสียกว่านี้อีกแล้วจะขายบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สินจะเหลือร่างกายเปลือยล่อนจ้อนก็ไม่เพียงพอจ่ายค่าเสียหายที่สูงเกินความเป็นจริง ซึ่งนอกจากชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งที่อยู่ในกระบวนการชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นศาลกว่า 20 คนแล้วยังมีชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อแต่หวาดกลัวอิทธิพลอีกหลายสิบคนไม่กล้าออกมาโวยวายร่วมเรียกร้องความเป็นธรรม
ชาวบ้าน 1 ใน 17 รายที่ตกเป็นเหยื่อกล่าวว่า ตอนแรกตนแค่ไปค้ำประกันเงินกู้นอกระบบให้กับเพื่อนและได้ตัดสินใจกู้มาด้วยจำนวน 2,000 บาท โดยการกู้ไม่ต้องใช้หลักฐาน หรือหลักทรัพย์ใด ๆ ค้ำประกันเพียงแค่ให้เซ็นซื่อในช่องท้ายหนังสือสัญญาอย่างเดียวไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ ระบุเลยและจ่ายรายวัน ๆ ละ 400 บาทเป็นระยะเวลา 10 วันคิดว่าจ่ายหนี้หมดไปแล้ว แต่จู่ ๆ ถูกตามทวงหนี้อีก 15,000 บาทไม่รู้ยอดหนี้มาจากไหน หากไม่จ่ายนายทุนเงินกู้ข่มขู่ว่าจะแจ้งความหรือฟ้องศาลดำเนินคดี ในที่สุดตกลงกันได้ให้ตนจ่ายอีก 9,000 บาท แม้จะเจ็บปวดใจที่โดนโกงแต่ก็จำใจจ่ายและคิดว่าเรื่องคงจบ จนกระทั้งเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีปรากฏว่ามีหมายเรียกจากศาลจังหวัดทุ่งสงมาถึงตน ในฐานะตกที่เป็นจำเลยที่ค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน ซึ่งตนตกใจมากที่ได้รับหมายศาลแต่ที่ตกใจแทบช็อคก็คือยอดหนี้ที่เขายืนฟ้องสูงถึง 2.9 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่ยอดกู้ยืมจริงแค่ 2,000 บาท จ่ายคืนไปแล้วและจ่ายสูงกว่ายอดจริงหลายเท่า แต่เขากลับเอาสัญญาเก่าไปเติมตัวเลขยื่นฟ้องศาลให้ตนและเพื่อนร่วมกันจ่าย 2.9 แสนบาท ตนจะจ่ายได้อย่างไรขายทรัพย์สินของครอบครัวที่มีอยู่ทั้งหมดก็คงไม่เพียง จึงว่าจ้างทนายความสู้คดีแต่ก็แพ้คดีต้องจ่ายคนละครึ่ง โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์
ส่วนผู้ร้องอีกคนกล่าวว่า ของตนกู้ยืมเงินนอกระบบแค่ 1,000 บาท แต่ถูกยื่นฟ้องศาลสูงถึง 6.9 หมื่นบาท ตนก็ไม่รู้จะหาเงินหรือทรัพย์สินที่ไหนมาจ่าย ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน นอกจากนี้ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่โดนฟ้องทั้งแพ่ง และอาญาอีกหลายเพราะนายทุนเงินกู้อ้างขอเงินวิ่งเต้นท์คดีให้ลูกชายในข้อหาพยายามฆ่า 50,000 บาท แต่ไม่ได้ดำเนินการช่วยเหลือใด ๆ และยังกลับไปช่วยเหลือฝ่ายค่ากรณี เมื่อออกมาเรียกร้องก็โดนยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ชาวบ้านอีกหลายคนที่เคยเข้าแจ้งความกับตำรวจในข้อหาฉ้อโกงและอื่น ๆ แต่ทุกคดีไม่มีความคืบหน้าใด ๆ แม้แต่บางคนไม่เคยกู้ยืมเงินใด ๆ แต่จู่ ๆ ก็ตกเป็นจำเลยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่น่าเชื่อว่านายทุนเงินกู้นอกระบบรายนี้จะจิตใจโหดเหี้ยมทำกับชาวบ้านตาดำ ๆ ได้ถึงขนาดนี้ เพราะเขามีทนายความหลายคนสามารถใช้ช่องทางกฎหมายกลับมาเล่นงานชาวบ้านจนเดือดร้อนแสนสาหัส เมื่อก่อนไม่มีนายทุนรายเข้ามาตั้งสำนักงานกฎหมายในพื้นที่ ชาวบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข แต่ทุกวันนี้ชาวบ้าน 2-3 หมู่บ้านใน ต.สามตำบล อ.จุฬาภรณ์ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ชาวบ้าน อ.จุฬาภรณ์ ต้องวิ่งขึ้นโรงขึ้นศาลมากที่สุดในรอบปีจนจำหน้าพนักงานอัยการและผู้พิพากษาได้หมดแล้ว
ชาวบ้านแต่ละคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่านายเงินกู้นอกระบบทำเป็นขบวนการ ใช้กลยุทธ์ เล่ห์เหลี่ยมให้ชาวบ้านตกเป็นเหยื่อกู้ยืมเงินคนละไม่กี่พันบาท แต่จู่ ๆ ก็จะตกเป็นผู้ต้องหาโดนฟ้องเรียกค่าเสียหลายหมื่นหลายแสนบาท คน อ.จุฬาภรณ์ 2-3 ตำบลต้องขึ้นศาลอย่างต่อเนื่อง หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องไม่สงสัยอะไรบ้างเลยหรือที่ชาวบ้านหลายสิบคนโดนฟ้องในคดีแบบเดียวกัน โดยมีโจทก์คนเดียวกัน ใช้หลักฐานแค่ใบสัญญาเพียงแผ่นเดียว และที่สำคัญทุกคดีเขาใช้พยานคนเดิม 2 คนเท่านั้นและมีแนวโน้มว่าเขาก็ชนะทุกคดี ซึ่งในสัญญาที่อ้างว่ายืมเงินหลายหมื่น หลายแสนบาท แต่ในความเป็นจริงหากยืมด้วยวงเงินสูงขนาดนั้นมันเป็นไปได้หรือไม่ที่ตัวเจ้าหนี้ไม่เรียกหลักทรัพย์ใด ๆ ค้ำประกันใด ๆ แค่สัญญาเพียงใบเดียวที่เขาจะเติมตัวเลขเอาเท่าไหร่ก็ได้ ชาวบ้านยอมรับว่าท้ายสัญญาเป็นลายมือชื่อของชาวบ้านแต่ละคนจริง แต่ในรายละเอียดในสัญญาเจ้าหนี้นำไปเขียนเองทั้งหมด ทำไมพยาน 2 คนในทุกคดีของเขาจึงได้รับความเชื่อถือสูงมากถึงขนาดนั้น
ในบ้านเมืองทุกวันนี้ มันไม่มีหนทางใดพิสูจน์ได้เลยหรือว่าเป็นเพียงหลักฐานเท็จ หากเป็นเช่นนี้อีกไม่นาน 2-3 หมู่บ้านจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน บ้านเมืองทุกวันนี้มันไม่มีหน่วยงานไหนเลยที่จะช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านได้เลยหรืออย่างไร จะไปพึ่งศูนย์ดำรงธรรมของอำเภอทั้งนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล จะไปก้าวล่วงไม่ได้ จึงไม่สามารถช่วยเหลือใด ๆ ได้ หันไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับสื่อมวลชนก็โดนแจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ผู้สื่อข่าวก็โดนฟ้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ในเมื่อจนตรอกหมดหนทางแก้ไขชาวบ้านก็ต้องหันกลับมาสู้ถวายชีวิต จุดจบจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมันใน กลุ่มชาวบ้านกล่าวด้วยน้ำตานองใบหน้า.
ภาพ/ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช