เปิดโปงลั่นห้องประชุม!! ผบ.มทบ.41เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประชุมแก้ปัญหานายทุนเงินกู้นอกระบบ..ชาวบ้านหลั่งน้ำตาแฉยืมหลักพันฟ้องหลักแสน(คลิป)

จากกรณีที่นายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำชาวบ้านจาก อำเภอจุฬาภรณ์  จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนกว่า 30 คน เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช  เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากจากผู้มีอิทธิพลหรือนายทุนเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเปิดสำนักงานทนายความ เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือ โดยมีทนายความซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจและทนายในสังกัดอีกหลายรายร่วมดำเนินการ ฟ้องร้องชาวบ้านเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเกินจริง เช่น ชาวบ้านยืมเงินกันแค่ 1,000-2,000 บาท แต่กลุ่มนายทุนกลับรับมอบอำนาจและนำสัญญาเงินกู้ของชาวบ้านมายื่นฟ้องต่อศาลสูงถึงรายละ 1- 3 แสนบาทและหลายรายถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาอีกด้วย มีชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ฐานะยากจนตกเป็นเหยื่อได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส และเข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม อำเภอจุฬาภรณ์ ก่อนจะรวบตัวกันเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน แต่ต่อมานายทุนได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี และชาวบ้านรวมอีก 17 คน ที่ร่วมลงชื่อในเอกสารร้องเรียน พร้อมทั้งผู้สื่อข่าว 3 คนประกอบด้วยนายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช และ น.ส.กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ เลขานุการศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. และนายยุทธนะ เตมะสิริ กรรมการสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ บิดเบือนหรือเป็นเท็จโดยการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  รวมผู้ต้องหาล็อตแรก 20 คน พนักสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาล เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลเมตตาให้ประกันตัวคนละ 20,000 บาท ส่วนอีกสำนวนผู้ต้องหา 1 คนคือนายยุทธนะ เตมะศิริ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องและนัดส่งสำนวนและผู้ต้องหาให้อัยการในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ตามที่เสนอข่าวไปตามลำดับแล้วนั้น

                 (26 มิ.ย.)  ผู้สื่อข่าวรานงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (25 มิ.ย.) พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผู้บัญชาการควบคุม มณฑลทหารบกที่ 41 เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบ ณ ห้องประชุมเสนาณรงค์ กองบัญชาการควบคุมมณฑลทหารบกที่ 41 ค่ายวชิราวุธ ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยได้เชิญนายจรายพงศ์ ศักดิ์ศรี ผู้ใหญ่บ้านซึ่งตำเป็นจำเลย พร้อมชาวบ้านและสื่อมวลชนทั้งหมดที่ตกเป็นจำเลย  กำนัน ต.สามตำบล  ปลัดอำเภอ นายอำเภอและเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอจุฬาภรณ์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช  รวมทั้งอดีตนายตำรวจซึ่งเป็นทนายความและภรรยา กลุ่มเจ้าหนี้เงินกู้ในพื้นที่ที่มอบอำนาจให้อดีตนายตำรวจและภรรยาฟ้องชาวบ้านเรียกค่าเสียหายอีกเกือบ 10 คน นอกจากนี้ยังมีทีมทนายความนำโดยนายสุภัทร คชเชน ประธานสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช  และทีมทนายขอแรงที่ศาลจังหวัดทุ่งสงแต่งตั้งให้ช่วยเหลือชาวบ้าน โดยมีคณะนายทหาร นำโดยพันเอกวชิรพงษ์ บุญรัตน์ หัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 41 และคณะทำงานฝ่ายนายทหาร ที่ลงพื้นตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

 

 

 

 

 

 

 

โดยในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านแต่ละรายที่โดนห้องตกเป็นจำเลยได้ชี้แจงเรื่องราว ความเป็นมา และยอดเงินที่ตกเป็นหนี้  ปรากฏว่าชาวบ้านได้เปิดเผยในที่ประชุมอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาก่อนถูกฟ้องดำเนินคดี ซึ่งมีทั้งการยืมเงินจากอดีตนายตำรวจและภรรยาและญาติ ๆโดยตรง และหยิบยืมเงินจากเพื่อนบานด้วยกัน  เงินที่ตกเป็นหนี้เนื่องจากการเล่นแชร์ การซื้อสินค้า (วัสดุก่อสร้าง)  ชาวบ้านยอมรับว่าเป็นหนี้จริงแต่เพียงจำนวนตั้งแต่  2,000-50.000 บาท แต่ถูกห้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเกินจริงถึงหลักหลายแสนบาท นอกจากนี้ชาวบ้านบางคนไม่ได้มีการหยิบยืมตกเป็นลูกหนี้แต่อย่างใดแต่ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายไปด้วย และมีอยู่บางรายที่อ้างว่าถูกเรียกรับเงินวิ่งเต้นคดี และบางรายระบุถูกกลันฟ้องฟ้องคดีอาญาหลายข้อหาอีกด้วย ที่สำคัญมีการทำสัญญาปลอมระบุตัวเลขหนี้สูงเกินจริงหลายเท่า โดยในที่ประชุมชนได้มีการตรวจสอบข้อมูลของชาวบ้านกับทางศูนย์ดำรงธรรม และสภาทนาย  พบว่าข้อมูลค่อนข้างจะตรงกับที่ชาวบ้านแจ้งในที่ประชุม

                ในขณะที่ฝ่ายอดีตนายตำรวจและภรรยารวมทั้งเจ้าหนี้ยืนยันหนักแน่นในที่ประชุมว่าชาวบ้านเป็นหนี้จริง โดยส่วนใหญ่ศาลประทับรับฟ้อง เรื่องอยู่ในชั้นศาลตั้งแต่ชั้นต้นถึงชั้นฎีกา และมีบางส่วนที่มีคำสั่งบังคับคดียึดทรัพย์ชาวบ้านแล้ว โดยพบว่าข้อมูลตัวเลขเงินที่ตกเป็นหนี้แตกต่างกับของชาวบ้านอย่างสิ้นเชิง เพราะตัวเลขของทางฝั่งทนายสองสามีภรรยาสูงกว่าของชาวบ้านหลายเท่า เช่น ที่ชาวบ้านยืนยันว่าเป็นหนี้แค่ 2,000-3,000 บาทแต่ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายมากถึงเกือบ 300,000 บาทเป็นต้น

                พล.ต.อาคม พงศ์พรหม ผบ.มทบ.41 กล่าวว่า กรณีหนี้สินนอกระบบเป็นนโยบายของ คสช.และรัฐบาลที่กำชับให้ทุกพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหา เนื่องจากมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อได้รับความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง ซึ่งตนมองว่าชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อเพราะปัจจัยหลายประการ อาทิ การไม่รู้ข้อกฎหมาย ข้อกฎหมายที่ล่าสมัยเปิดช่องให้ฝ่ายนายทุนเงินกู้ หรือเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายใช้เป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์  เช่นสัญญาเงินกู้สำเร็จรูปที่มีให้เติมข้อคามในช่องว่าง แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านมักจะเซ็นชื่อเพียงอย่างเดียว นายทุนหรือเจ้าหนี้เงินกู้สามารถเติมข้อความต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวเลขที่เป็นหนี้สูงเกินจริง ซึ่งสามารถเติมตัวเลขเข้าไปสูเกินจริงเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านบาท  เมื่อถูกฟ้องร้องชาวบ้านเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ต้องเสียค่าทนาย ใช้จ่ายอื่น ๆ อื่นมากมาย ในขณะที่เจ้าหนี้เขาเป็นทนายความเองมีความรู้ทางข้อกฎหมายสามารถทำอะไรได้สะดวก

                “ในการประชุมวันนี้อาจจะไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้มากนัก เพราะส่วนใหญ่คดีอยู่ในชั้นศาล บางคดีศาลชั้นต้นยกฟ้องแต่ทางเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์ และเมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเขาก็ยื่นฎีกา โดยในหลายกรณีทางนายสุภัทร คชเชน และทีมทนายจะเข้าไปช่วยดูแลเรื่องคดีให้ว่ามีช่องทางใดที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้าง ซึ่งตนได้ฝากไปยังเจ้าหนี้และทนายสองสามีภรรยาให้ช่วยหาทางยุติเป็นปัญหาด้วย ไม่ควรใช้ข้อกฎหมายเอาเป็นเอาตายกับชาวบ้านอย่างเดียว น่าจะใช้วิธีการเจรจาเพื่อลดยอดหนี้ให้กับชาวบ้านลงบ้าง  และหากศาลพิพากษาตัดสินยกฟ้องขอให้เจ้าหนี้หรือทนายความสองสามีภรรยายุติการยื่นอุทธรณ์ ฏีกาได้หรือไม่ ซึ่งทางทหารจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด  ส่วนในเรื่องคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน และสื่อมวลชนทางทนายความสองสามีภรรยาอ้างว่าเรื่องอยู่ในขั้นศาลที่นัดไต่สวนพยานระหว่างวันที่ 7-9 พ.ย.2561 ก็คงต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางศาล โดยทีมทนายสภาทนายความและทนายขอแรงที่ศาลแต่งตั้งให้จะช่วยเหลือสู้คดีอย่างเต็มความสามารถ โดยตนจะรายงานเรื่องราวให้กับรัฐบาลและ คสช.ทราบต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ชาวบ้านที่ตกเป็นจำเลย กล่าวว่า เรื่องคดีที่ถูกฟ้องร้องแม้ทางทหารจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก แต่ชาวบ้านก็พอใจในการประชุมวันนี้ เพราะได้มีโอกาสเปิดเผยข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้รับรู้ และหาทางแก้ปัญหาต่อไป เพราะนอกจากพวกตนที่ตกเป็นเหยื่อแล้วมีชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่ออีกจำนวนมากแต่ไม่กล้าแสดงตนเพราะเกรงจะโดนฟ้อง  การที่ทหารและสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทำให้ชาวบ้านอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

                ทางด้านนายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยที่ 20 ในคดีหมื่นประมาทด้วยการโฆษณา กล่าวว่าเรื่องนี้มีข้อสังเกตอยู่หลายประการ เช่น เจ้าหน้าทุกรายในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์ จะมอบหมายให้ทนายความสองสามีภรรยาเป็นผู้ฟ้องคดีทั้งหมด ทำไม่จึงไม่จ้างทนายความท่านอื่นหรือสำนักงานทนายคามอื่น ๆ บ้าง และทุกสำนวนคดีจะมีที่มาที่ไปใกล้เคียงกัน ท่ำสคัญมีพยานคนเดียวกัน และตามข้อมูลของลูกหนี้และศูนย์ดำรงธรรม ยุติธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุตรงกันเกือบทุกรายถึงยอดหนี้เพียงไม่กี่พัน กี่หมื่น แต่ยอดฟ้องสูงกว่านับสิบนับร้อยเท่า  และการหยิบยืมเงินหลักหลายแสนทำไมไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันใด ๆ แม้แต่น้อย ตนอยากทางฝ่ายทหารและสภาทนายความหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะตรวจสอบในกรณีนี้ให้ชัดเจนว่ายอดเงินที่ฟ้องเป็นยอดหนี้ที่ชาบ้านหยิบยืมและทำสัญญาระบุเองหรือไม่ หรือเจ้าหนี้เดิมใส่จำนวนเอง หรือทนายสองสามีภรรยาที่รับมอบอำนาจมาใส่จำนวนเงินและยื่นฟ้อง ทั้งหมดเป็นข้อพิรุธที่ชี้ให้เห็นถึงเบ้องหน้าเบื้องหลังไม่ชอบมาพากล  และหาดกพบว่าทนายความเป็นคนมาเพิ่มเติมข้อความในสัญญาเอง ก็น่าจะเข้าข่ายสัญญาปลอมและทนายเองก็น่าจะเขาข่ายผิดมรรยาททนายความที่ทำตัวเป็นคู่ความเสียเองด้วย  

                “ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้าน รวมทั้งสื่อมวลชนที่ตกเป็นจำเลยทั้งที่ผ่านมาและการต่อสู้คดีในกระบนการยุติธรรมต่อไปซึ่งไม่รู้จะยุติเมือไหร่ ต่างได้รับความเดือดร้อนด้านการเงินไม่น้อย  ตนจึงคิดว่าจะต้องจัดกิจกรรมระดมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือจำเลย และทนายความที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ ในเบื้องต้นศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช ได้กำหนดจัดงาน “ระดมทุนสูอธรรม”ในราววันที่ 21 ก.ค. 2561 นี้ ซึ่งกำหนดกิจกรรม “เที่ยงวันยันเที่ยงคืน”โดยเปิดรับเลี้ยงน้ำชา-กาแฟ เพื่อขอรับบริจาคเงินจากประชาชนทั่วไปที่รักความเป็นธรรม โดยตนจะแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง”

                นายสุภร คชเชน  ประธานสภาทนายคามจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ประเด็นการต่อสู้คดีจะเน้นเรื่องสัญญาปลอม โดยหลายคดีศาลพิพากษายกฟ้องแต่ทางโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ฏีกา อยู่หลายคดี  ตนและทีมงานจะลงไปช่วยดูแลในการต่อสู่คดีในแต่ละรายต่อไป ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญคือการร้องมารยาททนายความ ซึ่งเรื่องนี้ทางสภาทนายความแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมีทนายความบางคนสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กร ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทนายทั้งประเทศ ทางสภาทนายจะไม่เลี้ยงไว้อย่างแน่นอน  โดยหากการสอบผ่านได้ตั๋วเป็นทนายว่าความได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย  แต่ไม่เคยว่าความด้วยตนเองแต่จะจ้างทนายคนอื่น ๆ ว่าความแทนตัวเองก็เขาข่ายผิดมรรยาททนาย และหากทนายผู้ใดมีพฤติกรรมหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน สามารถเสนอให้ทางสภาทนายความแห่งประเทศไทยพิจารณาถอดถอนจากการเป็นทนายความได้

                ส่วนฝ่ายภรรยาของอดีตนายตำรวจทราบว่าสอบผ่านรอการพิจารณารับใบอนุญาตหรือรับตั๋วทนาย แต่ทางสภาทนายตรวจสอบพบคุณสมบัติขัดต่อระเบียบเนื่องจากภรรยาอดีตนายตำรวจท่านนี้ถูกฟ้องและศาลล้มละลายกลางสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อประกอบกับพฤติกรรมการเรียกรับเงินจากชาวบ้านวิ่งเต้นคดี  และการวิ่งเต้นฟ้องร้องชาวบ้านโดยทำตัวเป็นคู่ความเสียเอง เติมแต่งในสัญญาเงินกู้เสียเอง ถือผิดมารยาททนายความอย่างชัดเจน ซึ่งการสอบสวนแค่ความผิดปรากฏทางสภาทนายความดำเนินการถอดถอนและยับยั้งใบอนุญาตหรือตั๋วทนายได้  โดยมีความเป็นไปได้สูงมากที่ทนายที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะถูกสภาทนายความแห่งประเทศไทยลงโทษตามระเบียบตั้งแต่โทษภาคทัณฑ์ ลบชื่อและพักใบอนุญาต โดยในปัจจุบันทนายความที่มีพฤติกรรมในลักษณะนี้มีเยอะ เรื่องนี้หากมีการยื่นร้องให้สอบมรรยาททนายตนก็จะรายงานให้สภาทนายความแห่งประเทศไทยทราบ และดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง หากเข้าข่ายความผิดมรรยาททนายทางสภาทนายก็จะมีบทลงโทษหนักเขาไปตามระเบียบที่กำหนด.นายสุภัทร คชเชน กล่าว.

 

 

 

ภาพ/ข่าว/ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช