- 05 ส.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวอีกมากได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th
หลวงปู่หลุย จันทสาโร เป็นชาวเมืองเลย เดิมมีชื่อว่า “วอ”
เด็กชายวอเป็นเด็กฉลาดซักถาม ช่างเจรจา สำนวนโวหารดี ชอบเรียนหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และสามารถแสดงความคิดเห็นได้เกินอายุ จนเพื่อนๆ เรียกกันติดปากว่า “บา” (หมายถึง “ครู” หรือ “พระ”)
สมัยสัก ๑๐๐ ปีก่อน โรงเรียนในเขตหัวเมืองด้านนอกมีระดับการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ชั้นประถมศึกษา หากใครคิดจะเรียนต่อต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ หลังจากที่เด็กชายวอเรียนจบชั้นประถมศึกษา อยากจะเดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จึงเข้าไปขออนุญาตมารดา แต่มารดาไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นห่วงลูกชายที่ยังเล็ก เพราะในสมัยก่อน การเดินทางเข้าเมืองหลวงจะต้องไปกับกองเกวียนคาราวานของข้าราชการ มีหลายครอบครัวที่ฝากฝังให้ลูกหลานติดตามกองคาราวานเพื่อหวังความก้าวหน้าในการเรียนและหน้าที่การงาน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่เด็กบางคนล้มตายไปด้วยพิษไข้ป่า
ความที่เคยอยู่ภายใต้ความรักของมารดาและคนใกล้ตัว พอถูกขัดใจในเรื่องนี้ เด็กชายวอย่อมรู้สึกงอนเป็นธรรมดาว่า แม่ไม่รักลูกจึงไม่ส่งไปเรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่บ้านก็มีเงิน มีฐานะ เมื่อเด็กชายวอโตเป็นหนุ่มจึงเริ่มไปฝึกงานในตำแหน่งเสมียนกับพี่เขยที่จังหวัดเลย พออายุครบ ๑๘ ปี ก็บรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งสมัยนั้นใครได้รับราชการถือว่ามีเกียรติยศและเป็นค่านิยมที่โก้ไม่น้อยทีเดียว
บังเอิญว่า ยุคนั้นเป็นช่วงล่าอาณานิคมของยุโรป ดินแดนฝั่งลาวถูกฝรั่งเศสเข้ายึดครอง อิทธิพลรวมถึงวัฒนธรรมประเพณีของยุโรปจึงค่อยๆ แผ่ขยายข้ามมายังฝั่งไทยแถบเมืองติดแม่น้ำโขง ยิ่งทั้งสองประเทศมีการติดต่อค้าขายไปมาหาสู่กัน ฝั่งไทยก็พลอยได้รับอิทธิพลมาด้วย โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ที่ได้เผยแผ่เข้ามาในไทยและได้รับการต้อนรับจากประชาชนส่วนหนึ่ง
สมัยนั้น ศาสนาคริสต์นับว่าเป็นของใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับวัฒนธรรมประเพณีที่แปลกตา ตลอดจนวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาพร้อมๆ กัน เมื่อไม่ได้รับการต่อต้านจากหน่วยงานรัฐบาล แถมยังได้รับความสนใจจากประชาชน ก็ยิ่งทำให้ศาสนาคริสต์ดูจะมีอนาคตที่แจ่มใสบนผืนแผ่นดินไทย
นายวอก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้เยี่ยมชมโบสถ์ในคริสต์ศาสนา ด้วยเหตุที่นายวอมีนิสัยชอบสวดมนต์มาตั้งแต่เด็ก พอเห็นชาวคริสต์สวดมนต์ในโบสถ์จึงสร้างความประทับใจ ทำให้นายวอค่อยๆ หันมาสนใจศาสนาคริสต์มากขึ้นตามลำดับ แต่แท้จริงแล้ว แรงจูงใจลึกๆ ของการหันมานับถือศาสนาคริสต์ก็คือ อยากจะประชดมารดาด้วยการหันไปนับถือศาสนาอื่นนั่นเอง
ชาวยุโรปมีระเบียบการรับประทานอาหารที่แตกต่างไปจากคนไทย นายวอจึงต้องเรียนรู้วิธีรับประทานอาหารแบบตะวันตก ทั้งการตั้งโต๊ะ วิธีเสิร์ฟ วิธีจัดวางแก้วเหล้า ไวน์แดง ไวน์ขาว จนมีความคล่องแคล่ว คุณพระเชียงคานที่เป็นลุงจึงได้ตั้งชื่อใหม่ให้นายวอตามแบบของชาวคริสต์ว่า “เซนต์หลุย” ซึ่งเป็นชื่อของ “นักบุญเซนต์หลุยส์” ผู้ยิ่งใหญ่ในคริสต์ศาสนา นั่นหมายถึงผู้ใหญ่ในคริสต์ศาสนาเองก็มองเห็นว่า นายวอมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ
นับตั้งแต่นั้นมา ใครๆ ก็เรียกนายวอว่า “หลุย” “นักบุญหลุย” จนมาถึง “หลวงปู่หลุย”
ในการเสิร์ฟอาหารดินเนอร์มื้อใหญ่แต่ละครั้ง หลังครัวจะต้องตระเตรียมเป็ด ไก่ ปลา และเนื้อสัตว์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก สมัยนั้นหากใครอยากจะรับประทานเนื้อไก่จะต้องสั่งไก่เป็นๆ จากตลาดมาใส่เล้า รอจนกระทั่งถึงมื้ออาหารเย็นจึงได้เวลา “เชือดไก่”
เสียงร้องขอชีวิตของไก่ช่างบาดตาบาดใจ สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับนายหลุยเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา ๕ ปี ที่ต้องทนเห็นความทุกข์ทรมานของสัตว์ต่างๆ มากมาย ทำให้นายหลุยหวนคิดถึงกลิ่นอายของบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนไทยซึ่งส่วนใหญ่จะรับประทานข้าวกับผักและน้ำพริก นานๆ จะมีเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น ไก่ หมู วัว สักที และการจับปลาหรือสัตว์ประเภทอื่นก็แค่เพียงพอแก่อาหารในครอบครัวเท่านั้น
ภาพของไก่ที่ดิ้นรนหนีความตายอยู่ในจิตใจของนายหลุยมาตลอด เมื่อได้พิจารณาก็พลันเกิดปัญญาญาณ สลดสังเวช อยากจะออกบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ชีวิตมากมายที่ตายไปนั้น ประกอบกับชีวิตทางราชการที่ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ...
ในที่สุด นายวอจึงเลือกหนทางใหม่โดยเดินออกมาจากศาสนาคริสต์ แล้วออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
เรียบเรียงโดย เธียรนันท์ จากหนังสือ วินาทีบรรลุธรรม อรหันต์มีจริง1