พระอรหันต์กลางกรุง! "เจ้าคุณนร" ผู้สละทิ้งทุกสิ่งทางโลก บวชแล้วไม่ขอสึก เพื่อถวายในหลวงรัชกาลที่6

ติดตามเรื่องราวได้อีกมากที่ http://panyayan.tnews.co.th

 

เรื่องราวของ "ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต" ได้รับการบอกเล่าผ่านปลายปากการของ "หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช"

 

พระอรหันต์กลางกรุง! "เจ้าคุณนร" ผู้สละทิ้งทุกสิ่งทางโลก บวชแล้วไม่ขอสึก เพื่อถวายในหลวงรัชกาลที่6 พระอรหันต์กลางกรุง! "เจ้าคุณนร" ผู้สละทิ้งทุกสิ่งทางโลก บวชแล้วไม่ขอสึก เพื่อถวายในหลวงรัชกาลที่6

ได้รับการบอกเล่า ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านทางสมาชิกเฟสบุ๊คท่านหนึ่งนามว่า

โดยมีเนื้อความดังนี้ Supani Sundarasardula

 

"ผมเพิ่งได้ทราบข่าวเดี๋ยวนี้เองว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ได้มรณภาพเสียแล้วที่วัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 14 เมื่อเวลาหลังเพลเล็กน้อย

นามฉายาของท่านคือ ธมมวิตกโก ภิกขุ

ความจริงพระภิกษุมรณภาพเพียงรูปเดียวเมื่ออายุท่านได้ 74 ปี ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นอะไรนัก แต่บังเอิญชีวิตของท่านและการปฏิบัติธรรมของท่านในภิกขุภาวะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นธรรมอันดีที่ควรส่งเสริมบางอย่าง ผมจึงเขียนถึงท่านไว้ในที่นี้

ผมเคยรู้จักเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อผมยังเป็นเด็กเล็ก คิดดูเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะห้าสิบกว่าปีมาแล้ว

ตอนนั้นท่านอายุ 20 กว่า เป็นพระยาและได้สายสะพานแล้วด้วย

ท่านรับราชการกรมมหาดเล็กหลวง และมีตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐาน และเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กพระบรรทมคนอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่หลายคน

เจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องเข้าไปรับราชการในกรมมหาดเล็กเพื่อศึกษาราชการตามระเบียบ ก่อนที่จะไปรับราชการกรมกองอื่น ๆ

แต่เจ้าคุณนรรัตนฯ คิดอยู่ที่กรมมหาดเล็กและอยู่ที่ห้องพระบรรทมอยู่จนตลอดรัชกาล

ความจำของเด็กเล็ก ๆ ซึ่งบัดนี้แก่แล้วจะต้องกระจัดกระจายเป็นธรรมดา ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกออกเกี่ยวกับเจ้าคุณนรรัตนฯ

ครั้งหนึ่งเห็นท่านกำลังติดพระตรากับฉลองพระองค์ ซึ่งสวมไว้กับหุ่นช่างตัดเสื้อ ท่านติดจนเสร็จแล้วท่านก็ถอยออกมานั่งดูอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร

อีกครั้งหนึ่งเห็นท่านนั่งชุนกางเกงจีนเก่า ๆ ของใครอยู่ เสือกเข้าไปถามท่านตามวิสัยของเด็กทะลึ่ง ว่าท่านชุนกางเกงของท่านเองหรือ

ท่านบอกให้ผมลงกราบกางเกงที่ท่านกำลังชุนอยู่นั้น แล้วบอกว่าเป็นพระสนับเพลาจีนของพระเจ้าอยู่หัว

แล้วท่านก็บ่นอุบอิบอยู่ในคอว่า “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ชอบนุ่งกางเกงขาด ๆ เก่า ๆ อย่างนี้แหละ หาใหม่ให้ก็ไม่เอา ครั้นจะปล่อยให้นุ่งกางเกงขาดก็ขายหน้าเขา”

จำได้ว่าเวลาท่านพูดกับเด็กอย่างผมแล้วท่านใช้วาจาหยาบคายสิ้นดี พูดมึงกูไม่เว้นแต่ละคำ

แต่ท่านมีทอฟฟี่แจก เด็กก็เมียงเข้าไปบ่อย ๆ

เด็กที่วิ่ง ๆ อยู่ในวังสมัยนั้นมีมาก และบางคน (อย่างผม) ก็เป็นเด็กที่ซุกซนขนาดเหลือขอจริง ๆ ทีเดียว บางครั้งเข้าไปซุกซนใกล้ที่ประทับจนถูกกริ้วต้องพระราชอาญา มีรับสั่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เอาไปตีเสียให้เข็ด

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ลากตัวเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ แล้วเอาไม้เรียวซึ่งเตรียมไว้แล้วมาหวดซ้ายป่ายขวาลงไปกับเก้าอี้บ้างกระดานบ้างให้มีเสียงดัง

“ร้องให้ดัง ๆ นะมึง ไม่ร้องพ่อตีตายจริง ๆ ด้วยเอ้า” เด็กก็ร้องจ้าขึ้นมา

และก็จะได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากที่ประทับทันที

“พอที ข้าสั่งให้ตีสั่งสอนมันเพียงหลาบจำ เอ็งตีลูกเขาอย่างกับตีวัวตีควาย ลูกเขาตายไปข้าจะเอาที่ไหนไปใช้เขา”

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็กระซิบบอกเด็กว่า “ไหมล่ะ !”

เด็กก็พ้นพระราชอาญาเพียงแค่นั้น และความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณก็จะติดอยู่ในตัวในใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างที่สามัญชนเรียกว่า บวชหน้าไฟ

และท่านก็ได้ครองสมณเพศตลอดจนจนถึงมรณภาพ

เป็นเวลา 46 ปีเต็ม

สี่สิบหกปีแห่งความกตัญญูอันมั่นคงหาที่เปรียบได้ยาก

ความจริงเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ มีทั้งฐานะ ทั้งทรัพย์ และโอกาสที่จะหาความเจริญในโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล

ในทางชีวิตครอบครัวท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว

แต่ท่านก็ได้สละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดออกอุปสมบท และอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระคุณแก่ท่าน

นับว่าเป็นตัวอย่างแห่งความกตัญญูซึ่งควรจะจารึกไว้

เมื่ออยู่ในสมณเพศนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ ฉันอาหารวันละหนเท่านั้น

อาหารที่ท่านฉัน มีข้าวสุก มะพร้าว กล้วย เกลือ มะนาว และใบฝรั่ง

ท่านลงไปโบสถ์ทำวัตรเช้าและเย็นวันละสองครั้ง ไม่เคยขาด จนมรณภาพ

ดูเหมือนจะขาดอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์อยู่สั่งให้อยู่ที่กุฏิเพราะท่านอาพาธ

ท่านเป็นพระที่สงบสงัดจากโลกแล้ว ไม่เคยโด่งดัง แม้แต่ธรรมที่ท่านได้แสดงไว้เมื่อพิมพ์แล้ว ก็ได้เป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ มีเนื้อความเพียง 22 หน้ากระดาษและแบ่งออกเป็นเรื่องสั้น ๆ ได้ 8 บท

บทที่ 7 นั้นมีเพียงเท่านั้น แต่ก็ขอให้ท่านอ่านเอาเองเถิดว่าเป็นความจริงเพียงไร และน่าประทับใจเพียงไร

 

7. อานุภาพของไตรสิกขา

ศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้ !

1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ด้วยศีล 
ชนะความยินดียินร้ายหลงรังหลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยปัญญา

2.ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูลบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย !

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ

 

ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว

ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า

เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ

ท่านดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า

“ไอ้บ้า”

 

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก คุณSupani Sundarasardula