ที่สุด แห่งความประทับใจ!..เมื่อแรกสบเนตร กันครั้งแรก...

 ยิ่งใกล้จะถึงเวลา ๔ โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาตามหมายกำหนดการ ผู้คนที่มารอรับเสด็จฯ อยู่ ณ ที่นั้นก็ยิ่งมีท่าทีตื่นเต้น แม้จะมิได้แสดงกิริยาอาการให้ปรากฏเสียจนเกินงาม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็มีความตื่นเต้นและปลาบปลื้มใจกันทั่วหน้า
ซึ่งก็รวมถึง “หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร” ผู้เป็นธิดาองค์ใหญ่ของท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน ที่ในวันนี้คุณหญิงและขนิษฐาผู้มีวัยอ่อนกว่ากัน ๒ ปี คือ หม่อมราชวงศ์หญิงบุษบา กิติยากร ได้รับอนุญาตให้มาร่วมรับเสด็จฯ ในครั้งนี้ด้วย...
วันนี้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แต่งกายเรียบร้อยในชุดสูทสีเนื้อ เส้นเกศาสีดำขลับเป็นเงางามถูกถักเปียเดี่ยวยาวไปจนถึงกลางหลัง ดวงเนตรสีนิลคู่สวยทอประกายระยับบ่งบอกถึงความตื่นเต้น เพราะเท่าที่ผ่านมา สิ่งที่คุณหญิงเคยได้ปฏิบัติเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เพียงแค่การได้ปักดอกไม้ถวายแจกันที่พระบรมฉายาลักษณ์เท่านั้น แต่วันนี้นับเป็นครั้งแรกในชีวิตคุณหญิงทีเดียว ที่จะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ชื่นชมพระบารมีของ “ในหลวง” ด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น ระหว่างที่กำลังรอคอยอยู่ คุณหญิงและขนิษฐาจึงเฝ้าแต่ตั้งใจซักซ้อม “ถอนสายบัว” อยู่จนแล้วจนเล่าอย่างอดทน
แต่ ๔ โมงเย็นผ่านไปกระทั่งฟ้าเริ่มมืด แม้กระนั้น ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถยนต์พระที่นั่งจะมาถึง...
ถึงตอนนี้บรรดา “ผู้มาเฝ้ารอกันตั้งแต่บ่ายต้นๆ เริ่มมีท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแม้จะได้ชื่อว่าเป็น “กษัตริย์หนุ่ม” โดยขณะนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง ๒๐ พรรษา แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า นอกจาก “ในหลวง” จะทรงกอปรด้วยพระปรีชาสามารถและพระอุปนิสัยอันเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบอย่างที่สุดแล้ว ยังทรงมีพระนิสัยตรงต่อเวลาเสมอ การผิดเวลาอย่างมากในครั้งนี้จึงทำให้ทุกผู้คนในที่นั้นต่างรู้สึกแปลกใจระคนห่วงกังวลใจยิ่ง

ทางด้านหม่อมราชวงศ์สาวผู้อยู่ในชุดสูทสีครามนั้นเล่า...ดวงหน้าที่กระจ่างด้วยรอยยิ้มแจ่มใสมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ นั้น ถึงตอนนี้ก็เริ่มจะแสดงอาการ “หน้ามุ่ย” ขึ้นมาบ้างแล้วด้วยความหิว เพราะขณะนั้นเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว ไหนจะความเหนื่อยล้าจากการซักซ้อมถอนสายบัวมาตั้งแต่บ่ายต้นๆ แต่จนแล้วจนรอด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เสด็จฯ มาให้คุณหญิงได้ “ถอนสายบัวถวายบังคม” เสียที!
ดังนั้น สำหรับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้ว การพบกันครั้งแรกนี้จึงไม่ทำให้เธอประทับใจสักเท่าใดนัก
“สำหรับข้าพเจ้าเป็นการ “เกลียดแรกพบ” มากกว่า “รักแรกพบ” เนื่องเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า จะเสด็จถึงเวลาบ่าย ๔ โมง แต่จริงแล้วเสด็จมาถึง ๑ ทุ่ม ช้ากว่านัดหมายตั้ง ๓ ชั่วโมง ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า จึงเป็นการเกลียดเมื่อแรกพบมากกว่ารักเมื่อแรกพบ”*
*(พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ขวัญของชาติ” (สถานีโทรทัศน์ บี.บี.ซี’. กรุงลอนดอน พ.ศ. ๒๕๒๑)

 

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จฯ มาถึงด้วยความโล่งอกของทุกคน ทรงทักทายคณะบุคคลผู้มาถวายการต้อนรับ ทำให้ทุกคนได้ทราบถึงสาเหตุที่ทรงมาถึงช้ากว่ากำหนดว่า เป็นเพราะรถยนต์พระราชพาหนะซึ่งค่อนข้างจะเก่าคร่ำคร่าได้เกิดเครื่องเสียและน้ำมันหมด ทำให้ต้องใช้เวลาแก้ไขนานพอสมควร
และแล้ว...พระเนตรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สบเข้ากับประกายดวงเนตรคมดำขลับของหม่อมราชวงศ์สาว ที่แม้ยังเจือด้วยแววเคืองขุ่นอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจลดทอนเสน่ห์ความงามในดวงพักตร์ผุดผาดหวานซึ้งของดรุณีน้อยวัยแรกรุ่นผู้นี้ลงได้เลย...
ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระราชชนนี ซึ่งประทับอยู่ ณ สวิตเซอร์แลนด์ ได้รับสั่งถึง “ความน่ารัก”ของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ให้ทรงทราบบ้างแล้ว กระทั่งในการเสด็จฯ เยือนปารีสครั้งนี้ สมเด็จพระราชชนนีก็ยังรับสั่งเป็นพิเศษอีกว่า...ให้ไปทอดพระเนตรธิดาของท่านทูตไทย ว่าสวยและน่ารักไหม...ทั้งยังทรงกำชับด้วยว่า
“ถึงปารีสแล้ว โทร.บอกแม่ด้วย”
ไม่มีใครทราบได้ว่า ส่วนลึกในพระราชหฤทัยของกษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อแรกสบเนตรกับธิดาสาวของท่านเอกอัครราชทูตฯ ด้วยหลังจากนั้น หลวงประเสริฐไมตรี ราชเลขานุการในขณะนั้น ได้เชิญเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปยังโต๊ะเสวย และเชื้อเชิญผู้ใหญ่ที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จฯ ในวันนั้นให้ร่วมโต๊ะเสวยด้วย ในขณะที่เด็กๆ นั้น โดยมารยาทแล้วไม่พึงเข้าร่วมบนโต๊ะเสวย จึงมีการจัดให้ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารจีนอีกแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อแปลเป็นไทยว่า “มังกรทอง”
กระทั่ง...เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโทรศัพท์กลับไปยังโลซานน์ สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงไม่ลืมที่จะรับสั่งถามถึง “ธิดาของท่านนักขัตรฯ” และคำตอบสั้นๆ ที่สมเด็จพระราชชนนีทรงได้รับก็คือ
“เห็นแล้ว น่ารักมาก”
 

จากหนังสือเรื่อง อมตะ...แห่งรัก เรียบเรียงโดย สุวิสุทธิ์