สวดแล้วดี! พระคาถาอภิญญาเพียงสองบท ภาวนาไว้มีฤทธิ์เทียบได้กสิณ10 สมาธิขั้นสูง!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th

          พระคาถาอภิญญานั้นแบ่งออกเป็น ๒ บทด้วยกัน บทแรกคือ สัมปะจิตฉามิ ถ้าจะภาวนาคาถาบทนี้ ให้ขึ้นต้นด้วยนะโมฯ ๓ จบ พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ แล้วภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ จนครบก่อน หลังจากนั้นจึงภาวนา สัมปะจิตฉามิ

ถ้าหากว่าเราทำคาถาบทนี้ขึ้น จะมีความสามารถคล้ายกับผู้ที่ฝึกอภิญญาจากพื้นฐานของกสิณ ๑๐

 

           ส่วนพระคาถาอภิญญาอีกบทหนึ่ง เรียกง่าย ๆ ว่าพระคาถาอภิญญาใหญ่ ก็คือบท โสตัตตะภิญญา บทนี้ถ้าเราภาวนาแล้วทำขึ้น ก็จะมีฤทธิ์ มีอำนาจเหมือนกับใช้กสิณ ๑๐ ได้โดยตรง พระคาถาบทนี้วิธีการง่ายกว่า คือน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วก็ภาวนาได้เลย

 

           คาถาทั้งสองบทนี้เมื่อภาวนาไปแล้วจะเกิดผลสองประการ ประการแรก ก็คือ พอภาวนาไปแล้ว เราจะเห็นแสงสีทอง จะเป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่นผืน หรือสว่างโดยไม่มีประมาณ หรือเหมือนกับฟ้าแลบก็ตาม

 

 

           เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราเห็นแสงสีทองแล้ว ให้น้อมใจค่อย ๆ ตะล่อมเอาแสงนั้นเข้ามาในอกของเรา ถ้าสามารถรวมเป็นดวงโตสว่างไสวสีทองอยู่ในอกของเราเมื่อไร ร่างกายของเราจะลอยพ้นพื้น ต้องตั้งสติให้ดี ๆ ซักซ้อมการลอยอยู่ในห้องของเรา จนกระทั่งมีความชำนาญเสียก่อน ให้มั่นใจว่าเราบังคับร่างกายนี้ให้ลอยไปไหน ๆ ได้จริง อย่างนั้นแล้วเราค่อยออกไปสถานที่อื่น

 

             อีกประการหนึ่งผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ รู้สึกเหมือนโดนบีบรัด แน่นเข้าไป ๆ ทั้งตัว หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น ๆ มีอาการเหมือนกับเหนื่อยหอบ อยากจะดิ้นตึงตังโครมคราม ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้น ก็คือการที่กายในจะหลุดออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าเราตัดใจได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ก็ตาม เราไม่ใส่ใจ ต่อให้ตายลงไปในขณะที่ปฏิบัติความดีนี้เราก็ยอม ถ้าตัดใจอย่างนี้ได้ท่านจะหลุดออกไปเลยแต่ให้ตั้งเป้าไว้ด้วยว่าเราต้องการไปกราบพระที่พระนิพพาน ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าหลุดออกไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ออกไปก็จะรู้สึกมืดแปดด้าน ไปไหนไม่ถูก เปะปะไปหมด แล้วท้ายสุดทนรำคาญไม่ไหวก็กลับร่างกายตามเดิม

 

             สิ่งทั้งหลายที่ว่ามานี้ จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเป็นการกระทำของบุคคลที่มีความจริงจังและสม่ำเสมอ ถ้าเอาตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอไว้ก็คือ เช้าภาวนา ๑ ชั่วโมง เย็นภาวนา ๑ ชั่วโมง ท่านบอกว่ายิ่งนานไป พวกเดียรถีย์นอกศาสนาจะจาบจ้วงพุทธศาสนามากขึ้นทุกที ท้ายสุดถึงขนาดลบล้างคำสอนของพุทธศาสนา กล่าวหาว่าอภิญญาสมาบัติเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว พวกเราจะต้องออกไปแสดงให้เขาดูว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความจริง

          ดังนั้น...เราจึงต้องซักซ้อมเอาไว้ให้เคยชิน โดยการภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก ซึ่งบทภาวนาทั้งสองบทนั้น ไม่สามารถแบ่งลมหายใจเป็นคู่ได้สะดวก เราก็ภาวนายาว หายใจออกก็รู้ลมจนสุด หายใจเข้าก็รู้ลมจนสุด จะใช้คำว่าโสตัตตะภิญญาทีเดียวก็ได้ หรือจะวรรคเว้นอย่างไร เข้าออกอย่างไรก็แล้วแต่เรากำหนด แล้วแต่เราจะถนัด

 

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

 

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี

วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://board.palungjit.org