พระอริยสงฆ์กล่าวรับรอง... ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ!! และสวรรค์ชั้นดุสิตคือสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์ก่อนจะมุ่งสู่การตรัสรู้ในอนาคตกาล!!

รู้จริง... รู้แจ้ง... ทุกเรื่องราวพระอริยสงฆ์http://panyayan.tnews.co.th

พระอริยสงฆ์กล่าวรับรอง... ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ!! และสวรรค์ชั้นดุสิตคือสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์ก่อนจะมุ่งสู่การตรัสรู้ในอนาคตกาล!!

พระอริยสงฆ์กล่าวรับรอง... ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ!! และสวรรค์ชั้นดุสิตคือสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์ก่อนจะมุ่งสู่การตรัสรู้ในอนาคตกาล!!

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙เคยถามกับหลวงพ่อพธว่า  : การทำบุญผลบุญที่ได้อยู่ที่ไหน จะได้อยู่ที่จิตของเรา หรือจะได้อยู่ที่เราจะได้ผลบุญ คนเราส่วนมากเวลาทำบุญคิดว่าจะได้ผลบุญอย่างนี้ แต่บางทีก็ฟังดูว่าถ้าทำบุญทำทานหรือทำอะไร มันก็ได้กุศลผลมันก็ได้อยู่ที่ใจของเรา และก็เป็นการขัดเกลาจิตใจของเรา

ซึ่งหลวงพ่อพุธได้ตอบแจ้งไว้ว่า : การทำบุญโดยความมุ่งหมายที่แท้จริง ก็เป็นอุบายฝึกฝนอบรมจิตของผู้กระทำนั้น ให้เป็นผู้มีเมตตาอารีแก่ผู้อื่น และการทำบุญนั้นเพื่อกำจัดกิเลสเป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจให้เกิดมีวิชชากว้างขวาง

อารีอารอบรู้จักเอื้อเฟื้อแก่มนุษย์และสัตว์ แต่สำหรับอุบายโดยตรง เพื่อเป็นการจูงใจผู้ที่หลงผิดได้ทำบุญ เพื่อผลบุญจะติดตัวไปหลังจากตายแล้ว จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง อันนี้ก็เป็นอุบายเท่านั้น

พร้อมกับมีการยืนยันว่าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา เคยบอกว่า...

"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

"ในหลวง เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

จากคำพูดที่เคยได้ยินและ เหตุผลต่อความเชื่อที่ว่าในหลวงทรงเป็นพระโพธิสัตว์          

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙  ท่านเป็นพระโพธิสัตว์" ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จริงหรือไม่จริง ด้วยภูมิจิต ภูมิธรรมของผู้เขียนยังไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อพิจารณาพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านแล้ว ทำให้ผมเชื่อว่า คำกล่าวของครูบาอาจารย์นั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะพระราชจริยวัตรทั้งหลายดำเนินไปตามทศบารมี ดังนี้

1. ทานบารมี* ด้วยการพระราชทานกำเนิด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ สงเคราะห์ด้านการศึกษา และป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ รวมทั้งให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ ยากเดือดร้อนประการอื่นอีกด้วย

2. ศีลบารมี คือ การที่พระองค์ท่านมีพระราชจริยาวัตรที่พิเศษอีกประการหนึ่งซึ่งคนทั่วไปทำ ได้ยาก คือ ในคืนวันอุโบสถนั้น พระองค์จะทรงรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด

3. เนกขัมบารมี ซึ่งหมายถึง การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม ในข้อนี้พระองค์ท่านไม่ได้ออกบวชทางกาย (เพียงเคยทรงผนวชระยะสั้น) แต่สำหรับการบวชทางใจ ที่เป็นการปลีกตัวปลีกใจทางกามในช่วงอุโบสถศีล ย่อมถือเป็นบารมีข้อนี้เช่นกัน ครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง คือ ท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับการบวชใจไว้อย่างนี้

 

หลวงพ่อเคยปรารภเรื่อง “การบวชจิต-บวชใน”ไว้ว่า...จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คนมีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใดไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากในของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า..... " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้า เป็นพระอุปัฌาย์ ของเรา ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระธรรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็เป็นพระภิกษุ หญิงก็เป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

4. ปัญญาบารมี พระบารมีข้อนี้เห็นได้ชัดเจนมาก จากพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ เช่น โครงการพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งพระอัจฉริยภาพในเกือบทุกด้าน ไม่ว่า จะเป็นด้านการสื่อสาร ด้านกีฬา ด้านดนตรี ด้านจิตรกรรม หรือแม้แต่ด้านโหราศาสตร์ก็ตาม ยังรวมไปถึงพระราชปฏิภาณไหวพริบที่น่าอัศจรรย์

5. วิริยะบารมี บารมีนี้เห็นได้เด่นชัดจากพระราชจริยวัตรของการช่วยเหลือออกไปแก้ไขทุกข์ ร้อนของพสกนิกร ที่ทรงทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังมิทรงหยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” หรือแม้ในด้านพระศาสนา พระองค์ทรงทำสมาธิ เจริญสติทุกวันและทรงอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ เหล่านี้ล้วนเป็นพระวิริยะบารมี

6. ขันติบารมี คือ ความอดทน ข่มกายและใจต่อความลำบากทั้งพระวรกายและพระทัย ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่าน แม้จะเป็นที่ทุรกันดารห่างไกล ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อพระองค์ ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ยาวนานได้ขนาดนี้ ถ้าขาดซึ่ง “ขันติบารมี” แล้ว ยากที่จะทรงงานมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ คำว่า “ป่วยไข้” แบบธรรมดาอาจจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับพระองค์ท่าน ถ้าไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องทรงเข้าโรงพยาบาลแล้ว พระองค์์ท่านยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งหลายทั้งปวงมิว่างเว้น แม้แต่งานที่ดูไม่น่าจะสำคัญ แต่สำคัญสำหรับกำลังใจของผู้รับ อย่างเช่น การพระราชทานกระบี่ หรือปริญญาบัตร พระองค์ท่านก็ยังทรงปฏิบัติอย่างสงบ ไม่ทรงแสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้าให้เห็นเลย นับเป็นตัวอย่างของขันติบารมีที่น่าบูชายิ่ง

และจากการคำยืนยันของอริยสงฆ์ต่างๆเช่น

นี้รูปพระเจ้าแผนดินเก็บดีๆ แด้นั้น เอาไว้ในห้องพระ กราบไหว้บูชา พระพุทธเจ้านะนั้น”

พระครูภาวนาภิรัต วิ. (หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ)

พระอริยสงฆ์กล่าวรับรอง... ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ!! และสวรรค์ชั้นดุสิตคือสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์ก่อนจะมุ่งสู่การตรัสรู้ในอนาคตกาล!!

"ในหลวง เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา

พระอริยสงฆ์กล่าวรับรอง... ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ!! และสวรรค์ชั้นดุสิตคือสถานที่พำนักของเหล่าพระโพธิสัตว์ก่อนจะมุ่งสู่การตรัสรู้ในอนาคตกาล!!

และพระอริยสงฆ์อีกหลายองค์ตามที่เคยมีการกล่าวกันมา ซึ่งตามคติธรรมในศาสนาพุทธได้กล่าวไว้ถึงสวรรค์ชั้นดุสิต ว่าคือที่พักของเหล่าพระโพธิสัตว์  หรือที่พักของเหล่าผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อการจะได้อยู่กับพระพุทธเจ้า หรือ ผู้ที่จะได้เป็นพุทธเจ้าในอนาคต  เมื่อลาจากโลกนี้ไปแล้วจะไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้

ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ณ.เวลานี้  พระองค์ท่านก็คงจะไปประทับอยู่ที่ สวรรค์ชั้นดุสิต เฉกเช่นท่านอื่นๆที่ปรารถนาพุทธภูมิ หรือพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ก็เป็นได้

 

ขอขอบคุณ  ข้อมูลจากกระทู้ถามตอบพันทิพย์