- 23 ต.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/
23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ถือเป็นวันปิยมหาราช ซึ่งถือเป็นวันหยุดราชการวันหนึ่งของไทย หน่วยงานและองค์กรต่างๆ จะมาวางพวงมาลา และนำดอกไม้มาสักการะ ถวายบังคมตามบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงม้า พระลานหน้าพระราชวังดุสิต พร้อมทั้งจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในวันปิยมหาราชของทุกๆปี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นอกจากจะทรงมีพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน" แล้วท่านยังเป็นราชาผู้เป็น “มหาบพิตร” ทรงพระทัยในเรื่องศาสนา ทรงสร้าง บูรณะ และปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม หลายแห่ง แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงวัดประจำรัชกาล “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม”
“วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม” เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดแรก หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 1 ปี เพื่อให้เป็นวัดประจำรัชกาลตามโบราณราชประเพณี มีสิ่งปลูกสร้างหลักก็คือพระเจดีย์ทรงไทย ที่ล้อมรอบด้วยพระระเบียงวงกลมที่เชื่อมต่อพระวิหารและพระอุโบสถไว้ด้วยกัน ผนังระเบียงประดับตกแต่งด้วยกระเบื้อง กระจก ที่นับว่าวิจิตรบรรจงอย่างมาก
ส่วนภายในพระอุโบสถเป็นงานศิลปกรรมแบบฝรั่งเศสคล้ายกับพระที่นั่งในพระราชวังแวร์ซายในฝรั่งเศส มีพระพุทธอังคีรส เป็นพระประธาน สร้างขึ้นโดยการหล่อทำเป็นพิธีกระไหล่ทองทั้งองค์ สิ้นเนื้อทอง 180 บาท ซึ่งเป็นทองคำที่พระองค์ใช้แต่งเมื่อทรงพระเยา
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า วัดราชบพิธ นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณี ที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล 5 และยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 7 คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกด้วย เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 7 มิได้ทรงสร้างวัดประจำรัชกาล แต่ได้รับพระราชภาระในการทำนุบำรุง และทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัดของพระราชบิดา คือ รัชกาลที่ 5 จึงเสมือนเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์เช่นกัน
โดยสร้างเลียนแบบ 2 วัดคือ วัดพระปฐมเจดีย์ กับ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 และภายในวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตสุสานหลวง สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2413
สำหรับ "สุสานหลวง" ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของวัด ติดกับถนนอัษฎางค์ ริมคลองคูเมืองเดิม แต่เดิมมีอาณาบริเวณกว้าง 4 ไร่กว่า ต่อมาในสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทางผู้สำเร็จราชการและทางกทม. ได้ตัดถนนอัษฎางค์ ซึ่งกินพื้นที่สุสานหลวงไปบางส่วน จนปัจจุบันสุสานหลวงเหลือพื้นที่เพียง 2 ไร่ครึ่งเท่านั้น
ความสำคัญอีกส่วนหนึ่งของวัดราชบพิธคือ ที่นี่เป็นสุสานหลวงส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 5 ที่สร้างเจดีย์สถานอุทิศแด่พระมเหสี เจ้าจอมมารดา ตลอดจนเจ้าจอมทุกพระองค์สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "สุสานหลวง" ขึ้นในวัดราชบพิธฯ ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้ผู้ที่มีความรักใคร่ห่วงใยอย่างใกล้ชิด คือ พระมเหสี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม พระราชโอรส พระราชธิดา พระนัดดา และพระปนัดดา ได้อยู่ร่วมกัน หลังจากที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงสร้างขึ้นในสมัยหลัง อนุสาวรีย์ที่สุสานหลวงนี้ทำเป็นรูปเจดีย์ ปรางค์ และอาคารศิลปะยุโรป
พระอุโบสถจะเปิดเป็นเวลา โดยในวันธรรมดาจะเปิดช่วงพระทำวัดเช้า-เย็น คือ 09.00-9.30 น. และ 17.30-18.00 น. วันพระและช่วงปีใหม่จะเปิดให้เข้าไปไหว้พระตั้งแต่ 08.00-13.30 น. ส่วนพระวิหารจะเปิดเฉพาะเวลามีพิธสำคัญเช่น อุปสมบท หรือการถวายสังฆทานสมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น
ส่วนในเรื่องที่มีผู้สับสนว่า “วัดเบญจมบพิตรฯ” เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 หรือไม่นั้น ทางทีมข่าวได้หาข้อมูลมาให้ได้อ่านกันดังนี้
วัดเบญจมบพิตร มีชื่อเต็มว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” เป็นวัดที่สวยงามเป็นหนึ่งในสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่งสยามประเทศนั้น หลายๆคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 แต่อันที่จริงวัดนี้เป็นวัดเก่าที่ภายหลังรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดเบญจบพิตร” อันหมายถึง วัดของเจ้านาย 5 พระองค์ที่ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะทรงทำผาติกรรมสถาปนาวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ พร้อมกับพระราชทานนามว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5
ข่าว : ทิพย์วารี