- 26 ก.พ. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
จาก “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ถึง “ฆ่าตัวตายไม่บาป?”!!
ในช่วงปี ๒๕๑๙ อันเป็นช่วงที่อุดมการณ์ทางการเมืองฝั่งซ้ายฝั่งขวาปะทะกันอย่างรุนแรงในสังคมไทย อันนำไปสู่เหตุการณ์สังหารหมู่ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และตามมาด้วย “สงครามประชาชน” นับจากปี ๒๕๑๙-๒๕๒๓ นั้น บทบาทของพระสงฆ์รูปหนึ่งได้รับการกล่าวถึงและโจษจันกันอย่างมาก นั่นคือ “พระกิตติวุฑโฒ” ผู้เป็นเจ้าของวาทะ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
ตามที่มีการบันทึกกันไว้ (สัมภาษณ์เมื่อ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๙)
จตุรัสถามว่า : การฆ่าฝ่ายซ้ายหรือคอมมิวนิสต์บาปหรือไม่?
กิตติวุฑโฒตอบ : อันนั้นอาตมาก็เห็นว่าควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ใช่ถือว่าเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจ เราไม่ได้ฆ่าคน แต่ฆ่ามารซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
จตุรัส : ผิดศีลไหม?
กิตติวุฑโฒ : ผิดน่ะมันผิดแน่ แต่ว่ามันผิดน้อย ถูกมากกว่า ไอ้การฆ่าคนคนหนึ่งเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ ไอ้สิ่งที่เรารักษาปกป้องไว้มันถูกต้องมากกว่า แล้วจิตใจของทหารที่ทำหน้าที่อย่างนี้ไม่ได้มุ่งฆ่าคนหรอก เจตนาที่มุ่งไว้เดิมคือมุ่งรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ การที่เขาอุทิศชีวิตไปรักษาสิ่งดังกล่าวนี้ก็ถือว่าเป็นบุญกุศล ถึงแม้จะฆ่าคนก็บาปเล็กน้อย แต่บุญกุศลได้มากกว่า เหมือนเราฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ไอ้บาปมันก็มีหรอกที่ฆ่าปลา แต่เราใส่บาตรพระได้บุญมากกว่า
จตุรัส : ฝ่ายซ้ายที่ตายหลายคนในช่วงนี้ คนฆ่าก็ได้บุญ
กิตติวุฑโฒ : ถ้าหากฆ่าคนที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้ว ก็ได้ประโยชน์
จตุรัส : คนฆ่าฝ่ายซ้ายที่ไม่ถูกจับมาลงโทษก็เพราะบุญกุศลช่วย
กิตติวุฑโฒ : อาจจะเป็นได้...ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ (หัวเราะ)
พระกิตติวุฑโฒ
ว่ากันว่า เพราะคำพูดนี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ไปกระตุ้นความคลั่งแค้นของกลุ่มกระทิงแดง นวพล ให้เข้าใช้กำลังและความรุนแรงที่ธรรมศาสตร์และสนามหลวง
แม้ว่าหลังจากนั้น พระกิตติวุฑโฒจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นมาตามลำดับและมรณภาพไปตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ แต่คำพูด “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ยังคงถูกบันทึกและจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ถึงบทบาทและความเหมาะควรที่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาพึงจะปฏิบัติ พระกิตติวุฑโฒกลายเป็นตัวอย่างที่ถูกยกถึงโดยนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ฝ่ายเสรีนิยมหัวก้าวหน้า นอกเหนือจากสถานะ “ผู้ร้าย” (เช่นเดียวกับสามเผด็จการในยุคนั้น) ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็ยังเป็นการแสดงถึงการนำเอาศาสนาไปรับใช้อุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งของรัฐและอำนาจรัฐที่เข้าครอบงำศาสนา
เป็นตัวอย่างของการตีความธรรมะหรือคำสอนพุทธศาสนาอย่างมี “มิจฉาทิฏฐิ” ถึงที่สุด อย่างง่าย ๆ ที่สุดก็ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานที่สุดในพุทธศาสนา นั่นคือศีลข้อ ๑ “ละเว้นจากการคร่าชีวิตผู้อื่น”
มิจฉาทิฐิเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ค่อยมาว่ากันยาว ๆ วันหลัง แต่ในขณะนี้ประเด็นที่เหนือไปกว่าการละเว้นการคร่าชีวิตผู้อื่นนั่นคือ “การละเว้นจากการคร่าชีวิตตนเอง”
พุทธศาสนาแบบกระแสหลักน่าจะยืนยันเรื่องนี้แบบสุดขั้ว คือแม้ในกรณีที่พิเศษอย่าง “การุณยฆาต” (Mercy Killing) ก็ย่อมต้องถือว่าเป็นบาป-หนัก
(จำได้ว่ามีเพียงกรณีเดียวที่สมัยพุทธกาลมีพระฆ่าตัวตายเพราะทนอาพาธไม่ไหว แล้วพระพุทธเจ้าไม่ติเตียน เพราะขณะที่กำลังตายนั้นจิตของพระรูปนั้นได้บรรลุถึงแก่ความหลุดพ้นเสียก่อน ส่วนกรณีอื่น ๆ พระพุทธเจ้าได้ติเตียนและถึงกับตรากฎบัญญัติห้ามไม่ให้ทำทั้งสิ้น ไม่นับว่าเป็นบาปหนัก แม้ว่าจะมีกรณีที่มีข้ออ้างที่ดูเหมือนมีเหตุผลก็ตาม เช่น กลุ่มพระที่ปฏิบัติธรรมจะเกิดเห็นร่างกายเป็นของสกปรก น่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย จึงชวนกันไปฆ่าตัวตาย)
นั่นไม่ต้องพูดถึงเลยว่า เหตุผลของการฆ่าตัวตายเพื่อประท้วง ม.๔๔ จะฟังขึ้นหรือรับฟังได้หรือไม่?
หรือเหตุผลของการพร้อมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องนักบวชหนึ่งรูปที่ทำผิดและหนีหมายจับ และไม่กล้าออกมาเผชิญพิสูจน์ความจริงจนถึงวันนี้
ที่น่าแปลกใจก็คือ มีพระเจ้าบทเจ้ากลอนบางรูปที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายอย่างที่รู้กันดีในวงการได้ออกมาแต่งบทกลอนบอกให้ “ระวังสาวกธรรมกายจะฆ่าตัวตายตาม” (ถ้ารัฐยังไม่เลิกใช้ ม.๔๔) ทำไมท่านในฐานะนักบวชในพุทธศาสนาถึงออกมาส่งเสียงปรามฝ่ายรัฐแทนที่จะส่งเสียงห้ามปรามชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่คิดจะทำเช่นนั้นให้ขบคิดพิจารณาถึง “ทิฐิ” ตามที่ปรากฏในคติของพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ฆ่าตัวตาย มีคนจะฆ่าตัวตาย พระหลายรูปในปัจจุบันได้ยินกลับไม่ห้ามปราม “อย่านะโยม...มันผิด” มันราวกับเหมือนจะสนับสนุนในมุมกลับและบอกกลาย ๆ ว่า “ฆ่าตัวตายไม่บาป” ใช่หรือไม่? สาธุชนทั้งหลายลองขบคิด
ส่วนน้อง ๆ หนู ๆ ที่ “เห่อมอย” กับหลักประชาธิปไตย โหนศพคนตายทั้งในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ทั้งในเหตุการณ์คุณลุงธรรมกาย เพื่อสนองความใคร่ในเสรีหลักประชาธิปไตยของตัวเอง ก็ลองตั้งคำถามสักนิดว่า สิ่งที่ตนเองทำอยู่นั้นโดยอ้างความเห็นใจคุณค่าความเป็นมนุษย์นั้น ในอีกด้านหนึ่งก็กำลังเอา “คนตาย” และ “บาดแผลของสังคม” มาใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อสนองอุดมการณ์ของตนเองใช่หรือไม่ (โดยที่อาจไม่มีความเข้าใจใดในทั้งบริบทของ ๖ ตุลา และบริบทของธรรมกายอย่างชัดเจน)
พวกมึงนี่ไร้เดียงสาไม่พอ ยังโง่บัดซบ ๆ ความสะใจลึก ๆ ของพวกมึงก็ไม่ต่างจากพวกที่มึงกำลังด่าเขาอยู่ พวกมึงแม่งก็เป็นได้แค่ “เด็กที่หัวเราะใต้ต้นมะขาม” ที่เชื่อในมุมกลับในสิ่งที่พระกิตติวุฑโฒได้กล่าวไว้
พระกิตติวุฑโฒเคยบอกว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
ส่วนของพวกมึงก็ “ฆ่าเผด็จการไม่บาป”
ไม่ได้ต่างเหี้ยอะไรกันเลย
- เวทิน ชาติกุล / เพจเปาบุ้นจุ้น -
(ดร.เวทิน ชาติกุล อาจารย์ภาควิชาปรัชญาและศาสนา มศว. ประสานมิตร)
-------------------------------------------------------------
ณัฐวุฒิ/สำนักข่าวทีนิวส์ : รายงาน