- 10 เม.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
ความเชื่อโบราณ.. ช่วงตั้งครรภ์
1. ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน
มีความเชื่อต่อๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้ว่า
การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนทุกวันระหว่างตั้งครรภ์นั้น
จะทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีผิวพรรณสะอาดเกลี้ยงเกลา
ไม่มีไขมันติดตัวออกมาเวลาคลอด
เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องนี้นั้นคุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์
นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้ากล่าวชี้แจงว่า "...
ในเรื่องนี้นั้นยังไม่มีงานวิจัยออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร
แต่เคยมีงานวิจัยของเมืองนอกชิ้นหนึ่งออกมาว่า
ในน้ำมะพร้าวมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยให้มดลูกบีบตัว
ดังนั้นหากหญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปสารตัวนี้ก็จะไปช่วยให้มดลูกบีบรัดรก
ทำให้เกิดมีการคล้ายๆ ชะล้างเกิดขึ้น ...เหมือนๆ
กับที่มีข้อห้ามไม่ให้คนที่กำลังมีประจำเดือนดื่มน้ำมะพร้าว
เพราะเกรงว่าจะไปบีบรัดมดลูก
แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ออกมายืนยันว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วผิวพรรณเด็กจะดี " อย่างไรก็ตามไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวที่แสนอร่อย
เย็นชื่นใจ ...
2. ห้ามนอนหงายเพราะรกจะติดหลังแล้วคลอดออกมาไม่ได้
พ.อ. ดาราพงศ์ ลังกาฟ้า
สูตินรีแพทย์ได้กรุณาให้คำตอบเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องนี้ว่า "...
เป็นการเข้าใจผิดของคนในสมัยก่อน ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรกในร่างกาย
รกจะไม่เกาะติดกับหลังของเรา เพราะรกอยู่ในมดลูก รกจะเกาะติดด้านหน้า
หรือด้านหลังของมดลูกก็ได้ไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะมีอันตรายคือ รกเกาะต่ำ
โดยรกมาเกาะด้านล่างบริเวณปากมดลูก ซึ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้
รกจะเกาะที่ไหนไม่ได้ขึ้นกับท่านอน การนอนตะแคงดีกว่านอนหงายในอายุครรภ์หลังๆ
ตอนท้องโต การนอนหงายมดลูกจะไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังมดลูกได้
ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง และเลือดไปหล่อเลี้ยงมดลูกน้อยลง
เป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ แต่ถ้านอนตะแคง มดลูกจะไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่
อันตรายก็ไม่เกิดขึ้น... "
ข้อห้ามไม่ให้ " คนท้องนอนหงาย " นี้
ดูเหมือนจะเป็นความเชื่อของคนแทบทุกภาคของประเทศ ต่างกันเพียงแค่เหตุผล (คำขู่)
เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง บางท้องถิ่นบอกว่า...หากคนท้องนอนหงาย
ลูกในท้องจะดิ้นแรง ทำให้แม่ท้องแตกตายได้ ... อย่างไรก็ตามจากการวิจัยทางการแพทย์ของหลายหน่วยงานยืนยันว่า
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงด้านซ้ายเพราะเส้นเลือดใหญ่อยู่ทางด้านขวา
หากนอนตะแคงขวาจะทำให้เลือดไหลไม่ค่อยสะดวก
3. ห้ามไปงานศพ
ร.อ. (หญิง) เพ็ญพร สมศิริ หัวหน้าโครงการเตรียมมารดาเพื่อการคลอด
กองสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้แนะนำไว้ในหนังสือพิมพ์ "
ผู้จัดการรายวัน " (7 มี.ค. 2544) ว่า "...
หญิงตั้งท้องในระหว่างรอคลอดอย่าเครียด และแสดงอาการวิตก
เพราะจะส่งผลต่อทารกน้อยในครรภ์ ...ควรทำใจให้มีความสุขยิ้มแย้ม
เด็กเกิดมาจะได้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง... "
น่าแปลกที่ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฏมีตรงกันแทบทุกท้องถิ่นของประเทศไทย
แตกต่างกันเฉพาะเหตุผลที่ไม่อนุญาตหรือห้ามคนตั้งครรภ์ไม่ให้ไปร่วมงานเท่านั้นที่ไม่ตรงกัน
เช่น บางที่ให้เหตุผลว่า " กลัวมีวิญญาณร้ายจากสุสานติดตามมา "
บางท้องที่ก็บอกว่า " กลัวผีเข้า "
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตามหลักจิตวิทยาโดยยกเอาคำแนะนำของคุณหมอเพ็ญพรข้างต้นมาประกอบแล้ว
จะเห็นถึงความห่วงใยที่คนรุ่นเก่ามีต่อคนตั้งครรภ์และเด็กในท้อง
ไม่อยากให้ต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศ แห่งความสูญเสียโศกเศร้า
ทำให้จิตใจต้องสลดหดหู่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นงานศพของญาติพี่น้องคนที่รักด้วยแล้ว
อาจจะทำให้เกิดอาการ " เครียด " ขึ้นมาได้
ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อทั้งตัวแม่และลูกในครรภ์
4. ห้ามออกกำลังกาย / ควรออกกำลังกาย
คงเป็นเพราะในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่ส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้ท้อง
คลื่นไส้อาเจียน ฯลฯ ดังนั้น
ในสมัยก่อนบางท้องถิ่นจึงมองว่าการตั้งครรภ์นั้นเหมือนเป็นการเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง
ซึ่งต้องการการพักผ่อนห้ามออกแรงในเรื่องนี้ พลเรือตรี นายแพทย์สุริยา ณ นคร
รองเจ้ากรมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง "
หญิงมีครรภ์กับการออกกำลังกายในน้ำ " ดังนี้ "... อย่างไรก็ดีหลักฐานต่างๆ
แสดงว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอในระหว่างการตั้งครรภ์
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกาย
ช่วยให้คลอดง่ายและหลังคลอดแล้วร่างกายจะคืนสู่สภาพปกติรวดเร็ว... "
อย่างไรก็ตาม ท่านรองเจ้ากรมแพทย์ได้บอกว่า
สตรีมีครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง และพอเหมาะภายใต้คำแนะนำของแพทย์
ความเชื่อในเรื่องนี้ไม่เป็นเอกฉันท์แตกต่างไม่ตรงกันเหมือนดังข้ออื่นๆ
เพราะบางท้องที่ทางภาคเหนือกลับนิยมให้หญิงมีครรภ์ทำงานบ้านไม่นั่งไม่นอนอยู่เฉยๆ
ด้วยเหตุผลที่ว่า หากอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานแล้วท้องจะฝืดทำให้คลอดลูกยาก
ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่คุณหมอแนะนำมาอย่างน่าประหลาดใจ
5. ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะจะทำให้คลอดยาก
คุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์
นักโภชนาการจากโรงพยาบาลพระรามเกล้าได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "...
กล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
สาเหตุที่คนโบราณห้ามไม่ให้คนท้องกินนั้นน่าจะมีหลายสาเหตุ อย่างเช่น
กลัวเด็กจะตัวโตแล้วคลอดยาก เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีการผ่าตัดทำคลอด
หากเด็กในท้องอ้วนท้วนสมบูรณ์เกินไปจะเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกได้
อีกอย่างนั้นคือ ในกล้วยสุกๆ จะหวานมีแป้งมาก
กินสองสามลูกก็จะรู้สึกอิ่มจนไม่อยากกินอย่างอื่น ทำให้ขาดสารอาหารได้
นอกจากนี้ การกินกล้วยห่ามๆ ไม่สุกจะทำให้เกิดอาการท้องผูก
อาการท้องผูกนั้นเป็นปัญหาของคนท้องอยู่แล้ว ยิ่งกินกล้วยห่ามๆ
เข้าไปจะทำให้มีปัญหาเรื่องท้องผูกมากยิ่งขึ้นค่ะ... "
6. ห้ามกินเนื้อวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้เนื้อตัวทารกที่เกิดใหม่
จะเต็มไปด้วยไขมันล้างออกยาก
เกี่ยวกับข้อห้ามข้อนี้ คุณคัทรินทร์ กล่าวว่า "... จริงๆ
แล้วโภชนาการสมัยใหม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้คนท้องกินเนื้อวัว
แต่ควรระมัดระวังเพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่กินเนื้อวัวมักจะไม่ชอบกินสันในแต่ชอบกินเนื้อติดมัน
ซึ่งจะทำให้อ้วนมีไขมันเยอะ "
7. ห้ามกินหอย
คนโบราณห้ามคนท้องกินหอยทุกประเภท เพราะมีความเชื่อว่า เวลาคลอดจะมีกลิ่นคาว
และคลอดยากเหมือนหอยที่ติดอยู่ในเปลือก
คุณคัทรินทร์ได้กรุณาชี้แจงในเรื่องนี้ว่า "
โภชนาการคนท้องสมัยนี้ไม่มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กินหอย
เพราะหอยส่วนใหญ่จะให้คุณค่าให้สารไอโอดีนสูงคุณแม่ควรจะกินเพื่อป้องกันการขาดสารไอโอดีน
ยกเว้นแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ในรายที่มีไขมันในเลือดสูง ควรงดกิน
โดยเฉพาะหอยนางรมที่มีคอเรสเตอรอลสูงมาก "
8. ห้ามกินผักที่เป็นเครือเถา
คนโบราณในบางท้องที่เช่นทางภาคเหนือจะห้ามไม่ให้คนท้องกินผักที่มีลักษณะเป็นเครือเถา
เช่นผักตำลึง ยอดฟักทอง เป็นต้น คุณคัทรินทร์อธิบายในเรื่องนี้ว่า "
น่าจะมาจากการที่คนสมัยก่อน ประสบกับตัวเองเป็นต้นว่า
เห็นคนที่กินอาหารประเภทนี้แล้วมีอาการปวดขา ตามหลักโภชนาการแล้วน่าจะมีส่วน
เพราะในผักยอดอ่อนจะมีสาร purin สูง สารนี้เมื่อทำการย่อยจะกลายเป็นกรดยูริก
ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าส์ได้ ส่วนคนที่กินแล้วไม่เกิดอาการใดๆ
นั้นควรจะทานผักเยอะๆ เพราะช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น "
ปัจจุบันคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนยังคงดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนต่อไปและนอนตะแคงข้างซ้ายอยู่ทุกวัน
ตราบใดที่ยังมีคำว่า " เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด " ตราบนั้น.
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ยากยิ่งที่จะเลือนลบ " ความเชื่อโบราณ "
ทั้งหลายให้จางหายไปจากสังคมไทย
ที่มา www.gotoknow.org