หมอฝรั่งยังทึ่ง!! เปิดบันทึกผลวิจัยทางการแพทย์ ... "เสียงสวดมนต์" ช่วยคนไข้ให้หายป่วย-มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ารายที่ไม่มีใครสวดภาวนาให้!!

รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th

เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๘๘ มีงานวิจัยของคุณหมอโรคหัวใจชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ชื่อ “แรนดอล์ฟ เบิร์ด” (Randolph Byrd, M.D.) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ว่ามีผลอย่างไรต่อคนไข้ที่ได้รับการสวดมนต์ให้ โดยได้ทดลองกับคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดจำนวน ๓๙๓ คน ที่โรงพยาบาลซานฟรานซิสโก โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรก ๑๙๒ คน เป็นคนไข้ที่มีคนคอยสวดมนต์ภาวนาให้ โดยให้กลุ่มสวดมนต์ในโบสถ์ทางคริสต์ศาสนาเป็นผู้สวดภาวนาให้ และกลุ่มที่สองจำนวน ๒๐๑ คน เป็นคนไข้ที่ไม่มีคนคอยสวดมนต์ให้  ตัวแปรด้านอื่นๆ เช่น การใช้ยา อายุ เพศ ความหนักของโรค ได้รับการควบคุมให้เป็นไปอย่างสุ่มตามมาตรฐานงานวิจัยเป็นอย่างดี

ผลการทดลองเมื่อผ่านไป ๑๐ เดือน พบว่า คนไข้กลุ่มแรกใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่าคนไข้ในกลุ่มที่สอง ๕ เท่า เกิดสภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจในเรื่องน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema) น้อยกว่า ๓ เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Intubation) น้อยกว่า ๑๒ เท่า  ผลการทดลองครั้งนี้มีนัยสำคัญทางสถิติที่เชื่อถือได้ว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

ถือว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้  หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพเกือบทุกเล่มอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนี้  แต่ก็ยังเป็นที่กังขาของบรรดาแพทย์เป็นจำนวนมาก  หลายคนอธิบายว่าอาจเป็นผลทางอ้อมในแง่มุมทางจิตวิทยาของผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า

 

หมอฝรั่งยังทึ่ง!! เปิดบันทึกผลวิจัยทางการแพทย์ ... "เสียงสวดมนต์" ช่วยคนไข้ให้หายป่วย-มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ารายที่ไม่มีใครสวดภาวนาให้!!

[นายแพทย์แรนดอล์ฟ เบิร์ด]

คุณหมอเอลิซาเบท ทาร์ก (Elisabeth Targ, M.D.) จิตแพทย์ในระบบ และเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ไม่เชื่อและสงสัยงานวิจัยของคุณหมอเบิร์ด  เธอจึงพยายามคิดค้นการออกแบบงานทดลองใหม่เพื่ออุดช่องโหว่ที่งานวิจัยของคุณหมอเบิร์ดทำไว้ โดยที่งานทดลองครั้งนี้ ...

- ตัดองค์ประกอบเรื่อง “ความเป็นศาสนา” ออกไป โดยเธอได้คัดเลือก “ผู้มีอำนาจพิเศษ” ในการสวดมนต์จำนวน ๔๐ คน ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยที่ในกลุ่มนี้มีทุกศาสนาและผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆ ร่วมด้วย

- ตัดองค์ประกอบเรื่อง “การรู้ถึงงานวิจัย” ว่าอาจจะทำให้เกิดผลทางด้านจิตใจ คือมีความเป็น Double-Blind Study ตามที่มาตรฐานงานวิจัยนิยมกัน ก็คือไม่บอกให้คนไข้ที่เข้าร่วมในงานวิจัยทราบ และคุณหมอผู้ดูแลคนไข้ก็ไม่ทราบว่าคนไข้คนไหนได้รับการสวดมนต์ให้

โดยได้เลือกผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่มีอาการใกล้เคียงกันจำนวนเพียง ๒๐ รายเท่านั้น นำรายชื่อ รูปถ่าย อาการทางคลินิก และจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด T (T-cell count) มาใส่ซองให้นักวิจัยคนที่หนึ่งเรียงเลขหมายไว้ ส่งให้นักวิจัยคนที่สองเพื่อสลับเลขทั้งหมดอีก จดไว้ แล้วส่งให้นักวิจัยคนที่สามสลับตำแหน่งซองอีก แล้วแบ่งคนไข้เป็น ๒ กลุ่ม โดยการสุ่ม แล้วจึงเก็บรายชื่อนั้นไว้ในล็อกเกอร์ ใส่กุญแจไว้

สำหรับรายชื่อและเอกสารฉบับก๊อบปี้ของกลุ่มแรกนั้นถูกส่งให้ “ผู้สวดมนต์” โดยให้สวดวันละอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง ๖ วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา ๑๐ สัปดาห์ ติดต่อกัน โดยการจัดให้คนไข้แต่ละคนได้รับการสวดจากผู้สวด ๑๐ คน โดยการสุ่ม และผู้สวดแต่ละคนจะสวดให้คนไข้ ๕ คน โดยการสุ่มสลับ

ผลการทดลองในช่วงเวลา ๖ เดือน ผ่านไป พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดมนต์ให้ตายไป ๔๐% กลุ่มที่ได้รับการสวดไม่มีคนไข้รายใดเสียชีวิตเลย ทั้งยังพบว่าแต่ละคนมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย

คุณหมอทาร์กแทบไม่เชื่อผลการทดลองครั้งนี้ และได้กลับไปทบทวนดูทุกขั้นตอนของการวิจัยว่ามีอะไรผิดพลาดในกระบวนการวิจัยหรือไม่

ในปี ค.ศ. ๑๙๙๘ เธอจึงได้ทำการทดลองอีกครั้งโดยเพิ่มคนไข้ขึ้นเป็น ๔๐ คน  แต่ผลการทดลองก็ออกมาเหมือนเดิม  กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ให้นั้นมีผลการรักษาที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดมนต์อย่างชัดเจนในการวัดผลทุกชนิด

ข้อมูลในเรื่องนี้ไม่ได้จบแค่งานของคุณหมอทาร์กในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ เท่านั้น  ยังมีงานวิจัยของสถาบัน MAHI (Mid America Heart Institute) ได้ทำงานวิจัยในรูปแบบคล้ายๆ กันขึ้นมาด้วย  แต่ที่แตกต่างกันและน่าสนใจมากก็คือ งานวิจัยของสถาบันนี้ ผู้สวดไม่ได้เป็น “ผู้มีพลังพิเศษ” แต่เป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนเราท่านนี่เอง และพยาบาลซึ่งทำงานในสังกัดที่พอจะเชื่อเรื่องพลังของการสวดมนต์เท่านั้น

ผลการวิจัยออกมาเป็นที่น่าทึ่งว่า ในเวลา ๑๒ เดือนของการศึกษาผู้ป่วยโรคหัวใจในหอผู้ป่วยหนัก (CCU) มีผลคือ ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ให้มีอาการลดลงมากกว่า ๑๐% ซึ่งเป็นการประเมินผลจากอายุรแพทย์โรคหัวใจที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดของ MAHI จำนวน ๓ ท่าน  และการศึกษาเรื่องนี้ของสถาบันได้มีการควบคุมการวิจัยคล้ายกับของคุณหมอทาร์กด้วย เพื่อเป็นการตัดความเป็นไปได้ในเรื่องผลทางจิตวิทยา คือคณะแพทย์ในสถาบันไม่ทราบว่าคนไข้คนไหนเป็นผู้ถูกสวดมนต์ให้ และคนไข้เองก็ไม่ทราบว่ามีการทำวิจัยเรื่องนี้ตลอดการวิจัย

ผลของงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า เราท่านทุกคนล้วนมี “พลังพิเศษ” ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยทดลองใช้  ฉะนั้น เริ่มทดลองสวดมนต์ให้ญาติของท่านที่ป่วยอยู่ หรือพยาบาลทดลองสวดมนต์ให้กับคนไข้ในวอร์ด หรือหากเป็นไปได้ก็นำคนไข้สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ก็จะเห็นผลภายในเวลาไม่ถึงเดือนว่า คนไข้ (รวมทั้งตัวผู้สวดด้วย) มีสุขภาพกายและจิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น การที่คนป่วยมีอาการดีขึ้นเพราะการสวดมนต์อาจเป็นความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ซึ่งมิใช่เป็นสิ่งเหลือวิสัย  เพียงแต่ทำให้ถูกเรื่อง ทำให้เป็น ก็อาจเกิดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อได้อย่างมีเหตุผล

 

หมอฝรั่งยังทึ่ง!! เปิดบันทึกผลวิจัยทางการแพทย์ ... "เสียงสวดมนต์" ช่วยคนไข้ให้หายป่วย-มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ารายที่ไม่มีใครสวดภาวนาให้!!

[คุณหมอเอลิซาเบท ทาร์ก]

 

หมอฝรั่งยังทึ่ง!! เปิดบันทึกผลวิจัยทางการแพทย์ ... "เสียงสวดมนต์" ช่วยคนไข้ให้หายป่วย-มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ารายที่ไม่มีใครสวดภาวนาให้!!

หมอฝรั่งยังทึ่ง!! เปิดบันทึกผลวิจัยทางการแพทย์ ... "เสียงสวดมนต์" ช่วยคนไข้ให้หายป่วย-มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ารายที่ไม่มีใครสวดภาวนาให้!!

-----------------------------------------------------

ที่มา : หนังสือ "ตัดภพลบชาติ" โดย พระมหาวิเชียร ชินวังโส