- 24 เม.ย. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ นับเป็นวันครบ ๑๑๑ ปี ชาตกาลของ "ท่านพุทธทาสภิกขุ" ซึ่งในปีนี้ทางหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้จัดแคมเปญกิจกรรม "๑๑๑ ปี พุทธทาส ... รู้จักท่านพุทธทาสได้อย่างไร" ด้วยการชักชวนให้เล่าถึงท่านพุทธทาสในแบบที่แต่ละคนได้เห็นได้สัมผัส
สำหรับในพื้นที่ตรงนี้จะขอหยิบยกแนวคิดทางการเมืองของท่านพุทธทาสในส่วนที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการปกครองแบบ "ประชาธิปไตย" จากแง่มุมของพุทธธรรมไว้อย่างละเอียด พร้อมกันนั้น ท่านยังได้เสนอวิธีแก้ปัญหาที่ระบบประชาธิปไตยสร้างขึ้นอีกด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งของท่าน คือ "ธัมมิกสังคมนิยม" โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้ :
-----------------------------------------------------------------------------
คำว่า “ประชาธิปไตย” ก็เป็นคำที่ได้ยินกันอยู่ทุกๆ วัน และจะมากเกินจำเป็นไปแล้วก็ได้ แต่มันเป็นคำที่กำกวมหรือหลอกลวงที่สุดด้วย เพราะว่าคนที่มีกิเลสนั้นต่างคนต่างใช้กิเลสของตนให้ความหมายแก่คำว่า “ประชาธิปไตย” ในทางหนึ่งก็เป็นเครื่องมือสำหรับเอาเปรียบหรือทำลายผู้อื่น ในอีกทางหนึ่งก็เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสันติภาพ ดังนั้น พิจารณาดูคำว่า “ประชาธิปไตย” นานาชนิดไปตามลำดับ จะดีกว่า
บัดนี้มีคำที่ใช้กันอยู่ว่า “ประชาธิปไตยพื้นฐาน” คือ ประชาธิปไตยกลางๆ หรือประชาธิปไตยเฉยๆ อย่างนั้นแล้วก็มักจะใช้เป็นข้ออ้างว่า เราจะต้องนึกถึงสิ่งนี้ก่อน
อาตมารู้สึกว่า ประชาธิปไตยพื้นฐานนี้ยังพร่าหรือกว้างเกินไป หาความแน่นอนไม่ได้ เพราะว่าประชาธิปไตยพื้นฐานนี้ย่อมสร้างขึ้นมาได้พร้อมกันทั้งคู่เลย คือสร้างขึ้นมาได้ทั้ง “นายทุน” และทั้ง “ชนกรรมาชีพ” ซึ่งเราจะถือว่า คำทั้งสองคำนี้เป็นคำพูดสำหรับจะใช้เล็งถึงสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนี้
- เพราะประชาธิปไตยพร่า จึงเกิดนายทุน
- เพราะประชาธิปไตยพร่า จึงเกิดสิทธิที่จะยื้อแย่งนายทุน เช่น สิทธิของชนกรรมาชีพ เป็นต้น
- เพราะประชาธิปไตยพร่า จนไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ก็ปล่อยไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นเป็นกรณีๆ ไป
นี่เรียกว่า ประชาธิปไตยพื้นฐานอยู่ที่ตรงไหนกันแน่? มีบทบัญญัติอย่างไร? โลกเรามีประชาธิปไตยพื้นฐานกันมากี่สิบปีแล้ว แล้วโลกนี้เป็นอย่างไร? มันมุ่งหมายไปรวมที่จุดไหน? หรือว่าพร่าออกไปทุกที?
คำว่า “ประชาธิปไตยพื้นฐาน” นี้ ยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ คือว่าใครจะดึงไปทางไหนก็ได้นั่นเอง
ทีนี้เขยิบดูไปให้แคบเข้าว่า ประชาธิปไตยที่เป็น “เสรีนิยม” นี้ เราควรจะระลึกถึงคำคู่หรือคู่ของมัน คือคำว่า “สังคมนิยม” พร้อมกันไปในตัว
ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็เปิดเสรีเต็มที่ แล้วก็ไม่ได้จำกัดความไว้ชัดว่าเสรีอย่างไร แล้วกิเลสของคนมันก็ฉวยโอกาสที่จะเสรีไปตามอำนาจของกิเลส พอมีอำนาจอยู่ในมือแล้ว กิเลสมันก็เข้าสวมรอยที่จะใช้เสรีภาพตามอำนาจของกิเลส แม้อุดมคติจะวาดไว้สวยงามทางปรัชญา แต่การปฏิบัตินั้นก็เป็นไปไม่ได้ ปรัชญาไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานกิเลสได้
เดี๋ยวนี้เมื่อดูถึงคำพูดคำนี้แล้ว มันก็แสดงความกำกวมอย่างยิ่งอยู่แล้วว่า ทำอะไรก็ได้ ฉะนั้น เสรีประชาธิปไตยนี้จะต้องระวัง มันเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงได้ เพราะว่าคนคนไหนก็อ้างเสรีภาพได้ คนพาลก็อ้างได้ บัณฑิตก็อ้างได้ ถ้าไม่ให้เขาก็ต้องเรียกว่าไม่มีเสรีภาพ
ตัวอย่างเช่น มีปัญหาว่า จะสมัครเป็นผู้แทนจะต้องมีพรรคไหม? ถ้าว่าต้องสังกัดพรรค มันก็ไม่ใช่เสรีภาพที่สมบูรณ์ ยังถูกกักกันไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ พูดพอให้เป็นตัวอย่างว่า เสรีภาพนี้ทำยาก เพราะมันยังอยู่ใต้อำนาจของกิเลสของแต่ละคนอยู่นั่นเอง
อนึ่ง ถ้าจะถามว่าคนในโลกนี้เขาหมดกิเลสกันหรือยัง...ก็ยอมรับว่ายังมีกิเลส ถึงแม้จะรวมกลุ่มกันทั้งโลกก็เป็นกลุ่มของคนมีกิเลส ก็ใช้กันอย่างมีกิเลส ฉะนั้น ประชาธิปไตยชนิดนี้ยังไม่ปลอดภัย เพราะสำหรับคนที่มีกิเลสก็ย่อมรวมหัวกันเพื่อให้กิเลสได้โอกาสบัญญัติอุดมคติของมันนั่นเอง
ทีนี้ เราจะดูต่อไปโดยจำกัดให้แคบเข้ามา อย่าให้มันใช้กิเลสชนิดนั้นได้ เราก็จะนึกถึงคำว่า “สังคมนิยม” ซึ่งเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับเสรีนิยมที่เล็งถึงบุคคล
ปัจเจกชนต่างคนต่างมีเสรี แต่พอมาถึงคำว่า “สังคมนิยม” จะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะต้องดูประโยชน์ของสังคม ต้องดูปัญหาของสังคม แล้วก็ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาของสังคม นี้จึงเป็นสังคมนิยมที่ปลอดภัยเข้ามาชั้นหนึ่ง คือปลอดภัยยิ่งขึ้น หรือปลอดภัยกว่าเสรีนิยม โดยจะมุ่งทำประโยชน์แก่สังคม เสรีนิยมนั้นทำไม่ได้เนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะเสรีนิยมเป็นโอกาสของความเห็นแก่ตัว เพราะมีเป้าหมายอยู่ที่ตัว มิได้อยู่ที่สังคมเหมือนสังคมนิยม
เอาละ... ทีนี้เราจะยอมรับหรือยอมให้อีกชั้นหนึ่งว่า แม้แต่สังคมนิยมนี้ก็ยังจะต้องถูกจำกัดให้ชัดเจนลงไปว่าเป็นสังคมนิยมที่ประกอบด้วยธรรมหรือไม่ประกอบด้วยธรรม
ถ้าเป็นภาษาบาลีก็มีคำว่า “ธมฺมิก”
“ธมฺม” นั้นก็แปลว่า “ธรรม”
“อิ-ก” ท้ายศัพท์นี่มีความหมายว่า “ประกอบอยู่ด้วย” หรือ “เป็นไปกับ” และอื่นๆ ได้หลายๆ อย่าง
ถ้า “ธมฺมิก” แปลว่า “ประกอบอยู่ด้วยธรรม” เป็นต้น แล้วสังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมเท่านั้นแหละจะช่วยโลกได้ ถ้ามิได้ประกอบอยู่ด้วยธรรมเพราะความโง่ ความเขลา หรือความอะไรต่างๆ มันก็ช่วยไม่ได้ แต่มันก็ยังดีกว่าเสรีนิยมในแง่ที่ว่า เสรีนิยมนั้นแม้จะประกอบอยู่ด้วยธรรมด้วยกัน มันก็ยังเปิดช่องโหว่ไว้มาก เพราะว่าเห็นแก่ประโยชน์ของบุคคลได้ เสรีนิยมจะใช้ได้จริงก็แต่เรื่องไปนิพพานเท่านั้น
ถ้าเราจะมีเสรีกันให้สุดเหวี่ยง ถ้าเป็นเสรีเพื่อไปนิพพานละก็ได้ ไม่มีทางที่จะผิด แต่ถ้าว่าเสรีเพื่อจะอยู่กันในโลกแล้ว ระวังให้ดี มันมีช่องโหว่สำหรับอันตราย ฉะนั้น ถ้าเราจะเอาสังคมนิยมกันแล้วก็จะต้องใช้คำว่า “ธัมมิกสังคมนิยม” มีความหมายเต็มรูป คือประกอบอยู่ด้วยธรรมเสมอ
ทีนี้...อยากจะให้มองดูเลยไปถึงคำที่อาจจะถูกหาว่าบ้าๆ บอๆ อีกคำหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยเผด็จการ”
ที่จริงประชาธิปไตยเผด็จการเป็นคำที่ถูกต้องหรือไพเราะที่สุด แต่คนเขาเกลียดเสียงของคำว่า “เผด็จการ” เพราะเรากำลังเมาเสรีนิยม นั่นก็เพราะเข้าใจคำว่า “เผด็จการ” ผิดๆ อยู่บางอย่าง
คำว่า “เผด็จการ” นี้ ขอให้แยกออกเป็น ๒ ความหมาย ถ้าเป็นหลักปฏิบัติหรืออุดมคติในฐานะอุดมคติทางการเมืองนี้ มันก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพียงวิธีปฏิบัติงานดำเนินงานเท่านี้จะใช้ได้ คือ มันทำให้เร็วกว่า
ถ้าว่าประชาชนเป็นสังคมนิยม เป็นประชาธิปไตยเต็มที่แล้ว เห็นว่าปัญหานี้มันอืดอาดนักก็มอบให้เผด็จการ ก็คือประชาธิปไตยเผด็จการ ประชาชนเผด็จการ อย่างนี้มันดีกว่า
ขอให้ระวังความหมายของคำว่า “เผด็จการ” ให้ดีๆ อย่าเอาแต่เสียงหรือคำพูดที่พูดๆ กันอยู่ เพราะว่าเรากำลังจะต้องขึ้นไปจนถึงประชาธิปไตยชนิดธัมมิกสังคมนิยม และก็ใช้วิธีเผด็จการด้วย
สรุปแล้ว ประชาธิปไตยมีหลายแบบ คือเป็นเสรีนิยมบ้าง สังคมนิยมบ้าง ถ้าเราจะเอาอย่างสังคมนิยมแล้ว คำก็ยังกำกวม เราจะต้องเอาสังคมนิยมอย่างที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ที่แม้ประกอบไปด้วยธรรมะนั้นก็ยังกำกวมในกรณีที่จะทำให้ช้าหรือเร็วได้อย่างไร เราจึงต้องเอาวิธีดำเนินการหรือปฏิบัติงานอย่างเผด็จการเข้ามาใส่ให้ จึงจะเป็นผลเกิดขึ้นทันใจ นี้มันจะช่วยโลกได้
เดี๋ยวนี้ประเทศเรากำลังสับสนหมด ไม่รู้ว่าจะจัดลงไปอย่างไร...ที่ตรงไหน? ถ้าใช้เผด็จการที่ประกอบไปด้วยธรรมแล้วจะดี จะเร็ว จะหมดปัญหาได้เร็ว เดี๋ยวนี้กำลังควันเข้าตา หรืออะไรเข้าตา หรือแสงสว่างสีขาวมันเข้าตา ความมืดสีขาวมันเข้าตา จึงไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร
อยากจะเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เราจะต้องมีประชาธิปไตยอย่างที่เป็นธัมมิกสังคมนิยมและต้องเผด็จการด้วย ให้มันหมดความกำกวมกันเสียที
ถ้าไล่มาดูก็จะเห็นว่า ประชาธิปไตยพื้นฐานพร่าเหลือเกิน ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็มีช่องโหว่มากเหลือเกิน ประชาธิปไตยสังคมนิยมค่อยยังชั่วหน่อย แต่ก็จะต้องเป็นธัมมิกะ ทีนี้ธัมมิกะเข้าไม่ทันใจก็จะต้องใช้วิธีดำเนินการอย่างเผด็จการ ถ้าเผด็จการอย่างทรราชย์หรืออะไรนั้นก็เรียกว่าใช้ไม่ได้ ถ้าเผด็จการเป็นวิธีดำเนินการที่ประกอบด้วยธรรมแล้วก็ใช้ได้เต็มที่
ถ้าเป็นเผด็จการทางจิตใจ เป็นเรื่องของธรรมะ ของศาสนา มันเผด็จการแก่กิเลส แล้วก็ยิ่งวิเศษแน่ ถ้าเราใช้วิธีเผด็จการแก่กิเลสกันจริงๆ ไม่เท่าไรคนเราก็จะมีกิเลสเบาบางหรือไม่มีกิเลสเสียเลย ก็เลยดีมากหรือวิเศษมาก จนถึงกับว่าไม่ต้องมีระบบการปกครองก็ได้ แต่ดูจะเป็นความหวังที่เลื่อนลอยที่ว่า มนุษย์จะอยู่กันโดยไม่มีระบบการปกครอง นี้จะมีได้ก็แต่ในโลกของพระอริยเจ้าเท่านั้น ถ้าเป็นโลกของพระอริยเจ้าก็อยู่กันได้โดยไม่ต้องมีระบบการปกครอง เพราะว่าศีลธรรมมันถึงภาวะสูงสุดของมัน
ขอทบทวนว่า “ประชาธิปไตย” นี้ เราจะต้องดูกันให้ดีๆ ในความหมายที่สับสนกำกวมกันหลายขนาดในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้
---------------------------------------------------------------------------
ที่มา : "ธัมมิกสังคมนิยม" โดย พุทธทาสภิกขุ