อ่านแล้วเก็ตเลย!! คดี "ทายาทกระทิงแดง" สั่นสะเทือน "กฎแห่งกรรม" หรือไม่? ... ป.อ. ปยุตฺโต ตอบข้อสงสัย "ทำไมทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว?"!!

รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th

กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกี่ยวกับกรณี "ทายาทกระทิงแดง" ที่ขับรถชนผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย แต่ระยะเวลาผ่านมา ๕ ปี คดีกลับไม่คืบหน้า (และปรากฏภาพตามสื่อมวลชนว่ายังมีชีวิตสุขสบายในต่างประเทศ) กับ "ตายายเก็บเห็ด" ที่โดนข้อหาบุกรุกป่าสงวน ศาลตัดสินจำคุกคนละ ๕ ปี จนมีข้อเปรียบเทียบว่า "กฎหมายสำหรับคนจนมันช่างทารุณโหดร้าย แต่กับคนรวยทำไมมันเอื้อมไปไม่ถึง!!"

และถ้อยคำอย่าง "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" ก็คงจะดังกระหึ่มขึ้นมาอีก...ทุกครั้งที่มีเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นในสังคมเมืองพุทธ

ก่อนที่ความศรัทธาในกฎแห่งกรรมจะสั่นคลอนไปมากกว่านี้ ขอนำคำอธิบายเรื่อง "กรรม" ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) มาทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อยืนยันว่า กฎ "ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว" ยังคงเป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่ถูกต้องเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และเราทุกคนสามารถยึดเป็นหลักในการใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ

------------------------------------------------------------------------

อย่างที่เราพูดอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” และมีผู้ชอบแย้งว่า “ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ฉันทำดีแต่ได้ชั่ว ไอ้คนนั้นทำชั่วมันกลับได้ดี”

นี่ก็เป็นอีกระดับหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งก็ต้องมีแง่มีแนวในการที่จะอธิบาย

เบื้องแรกเราต้องแยกการให้ผลของกรรมออกเป็นสองระดับ คือ “ระดับที่เป็นผลกรรมแท้ ๆ หรือเป็นวิบาก” กับ “ระดับผลข้างเคียงที่ได้รับภายนอก”

ยกตัวอย่างเป็นอุปมาจึงจะพอมองเห็นชัด  เช่น  คนหนึ่งบอกว่า ผมขยันทำการงาน แต่ไม่เห็นรวยเลย แล้วก็บอกว่าทำดีไม่ได้ดี

ในที่นี้ “ขยันคือทำดี” และ “รวยคือได้ดี” ... ทำดีคือขยันก็ต้องได้ดีคือรวย

ปัญหาอยู่ที่ว่า รวยนั้นเป็นการได้ดีจริงหรือเปล่า

ถ้าจะให้ชัดก็ต้องยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น  เช่น  นาย ก. ขยันปลูกมะม่วง ตั้งใจปลูกอย่างดี พยายามหาวิธีการที่จะปลูก ปลูกแล้วปรากฏว่ามะม่วงงอกงาม

จริง ๆ แล้ว นาย ก. ก็มีมะม่วงเต็มสวน แต่นาย ก. ขายมะม่วงไม่ได้  มะม่วงเสียเปล่ามากมาย  นาย ก. ไม่ได้เงิน นาย ก. ก็ไม่รวย  นาย ก. ก็บ่นว่า ผมขยัน = ทำดี ปลูกมะม่วงเต็มที่ แต่ผมไม่ได้ดี = ไม่รวย

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ นาย ก. ลำดับเหตุและผลไม่ถูก แยกขั้นตอนของการได้รับผลไม่ถูกต้อง

นาย ก. ทำเหตุคือขยันปลูกมะม่วง ก็จะต้องได้รับผลคือได้มะม่วง  มะม่วงก็งอกงาม มีผลดกบริบูรณ์ ... นี่ผลตรงกับเหตุ ... ปลูกมะม่วงได้มะม่วง ขยันปลูกมะม่วงก็ได้มะม่วงมากมาย

แต่นาย ก. บอกว่าไม่ได้เงิน ไม่รวยคือไม่ได้เงิน ปลูกมะม่วงแล้วไม่ได้เงิน ... นี่ไม่ถูกแล้ว

ปลูกมะม่วงแล้วจะได้เงินได้อย่างไร ... ปลูกมะม่วงก็ต้องได้มะม่วง

นี่แสดงว่า นาย ก. พูดลำดับเหตุผลผิด

เหตุผลที่ถูกคือปลูกมะม่วงแล้วได้มะม่วง  แต่ปลูกมะม่วงแล้วรวยหรือปลูกมะม่วงแล้วได้เงินนี้ยังต้องดูขั้นต่อไป

ถ้าปลูกมะม่วงแล้วได้มะม่วงมากมาย มะม่วงล้นตลาด คนปลูกทั่วประเทศ เลยขายไม่ออก ก็เสียเปล่า ... เป็นอันว่าไม่ได้เงิน ฉะนั้นก็ไม่รวย อาจจะขาดทุนยับก็ได้

เราต้องแยกเหตุผลให้ถูก

เป็นอันว่าอย่ามาเถียง “กฎแห่งกรรม” เลย ... ไปศึกษาพัฒนาปัญญาของคุณเองนั่นแหละ

กฎไม่ผิดหรอก  คุณปลูกมะม่วงก็ได้มะม่วง  ส่วนจะได้เงินหรือไม่นั้นต้องอยู่ที่เหตุปัจจัยอื่น ซึ่งเป็นลำดับเหตุและผลอีกช่วงตอนหนึ่งที่จะต้องแยกแยะวินิจฉัยต่อไปอีก  เช่นว่า  คุณขายเป็นไหม รู้จักตลาดไหม ตลาดตอนนี้มีความต้องการมะม่วงไหม ต้องการมากไหม ราคาดีไหม  ถ้าตอนนี้คนต้องการมะม่วงมาก ราคาดี จัดการเรื่องขายได้เก่ง คุณก็ได้เงินมาจากการขายมะม่วง...ก็รวย

นี่เป็นอีกตอนหนึ่ง

คนเราโดยทั่วไปมักจะเป็นอย่างนาย ก. คือมองข้ามขั้นตอนของเหตุผล จะเอาปลูกมะม่วงแล้วรวย จึงยุ่ง เพราะตัวเองคิดผิด

ในเรื่องนี้จะต้องแบ่งลำดับเรื่องเป็นสองชั้น

ชั้นที่ ๑ บอกแล้วว่า “ปลูกมะม่วงได้มะม่วง”  เมื่อได้มะม่วงแล้ว ชั้นที่ ๒ “ทำอย่างไรกับมะม่วงจึงจะได้เงิน...จึงจะรวย”

เราต้องคิดให้ตลอดทั้งสองตอน

ตอนที่ ๑ ถูกต้องตามเหตุปัจจัยแน่นอนแล้ว คือปลูกมะม่วงได้มะม่วง

หลักกรรมก็เหมือนกัน ... หลักกรรมในชั้นที่ ๑ คือปลูกมะม่วงได้มะม่วง  เหตุดี ผลก็ดี  เมื่อท่านปลูกเมตตาขึ้นในใจ ท่านก็มีเมตตา มีความแช่มชื่น จิตใจสบาย ยิ้มแย้มผ่องใส มีความสุขใจ  แต่จะได้ผลอะไรต่อไปเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง

สำหรับตอนที่ ๒ ท่านให้ข้อพิจารณาไว้อีกหลักหนึ่งดังที่ปรากฏในอภิธรรม บอกไว้ว่า การที่กรรมจะให้ผลต่อไปจะต้องพิจารณาเรื่อง “สมบัติ ๔” และ “วิบัติ ๔” ประกอบด้วย

คือ ตอนได้มะม่วงแล้วจะรวยหรือไม่...ต้องเอาหลัก “สมบัติ ๔” และ “วิบัติ ๔” มาพิจารณา

“สมบัติ” คือองค์ประกอบที่อำนวยช่วยเสริมกรรมดี มี ๔ อย่าง คือ

๑. “คติ” คือ ถิ่นที่ เทศะ ทางไป ทางดำเนินชีวิต

๒. “อุปธิ” คือ ร่างกาย

๓. “กาล” คือ กาลเวลา ยุคสมัย

๔. “ปโยค” คือ การประกอบ หรือการลงมือทำ

นี้เป็นความหมายตามศัพท์

ฝ่ายตรงข้ามคือ “วิบัติ” ก็มี ๔ เหมือนกัน

คือ ถ้าคติ-อุปธิ-กาล-ปโยค ดี ช่วยเสริม ก็เรียกว่าเป็น “สมบัติ”

ถ้าไม่ดี กลายเป็นจุดอ่อน เป็นข้อด้อย หรือข้อบกพร่อง ก็เรียกว่าเป็น “วิบัติ”

ลองมาดูว่าหลัก ๔ นี้มีผลอย่างไร

สมมติว่า  คุณ ก. กับคุณ ข. มีวิชาดีเท่ากัน ขยัน นิสัยดีทั้งคู่  แต่เขาต้องการรับคนทำงานที่เป็นพนักงานต้อนรับ ทำหน้าที่รับแขกหรือปฏิสันถาร  คุณ ก. ขยัน มีนิสัยดี ทำหน้าที่รับผิดชอบดี แต่หน้าตาไม่สวย  คุณ ข. ก็ขยัน มีนิสัยดี มีความรับผิดชอบดี และหน้าตาสวยกว่า  เขาก็ต้องเลือกเอาคุณ ข.  แล้วคุณ ก. จะบอกว่า ฉันขยัน อุตส่าห์ทำดี ไม่เห็นได้ดีเลย เขาไม่เลือกไปทำงาน  นี่ก็เพราะตัวเองมี “อุปธิวิบัติ” เสียในด้านร่างกาย

หรืออย่างคนสองคนต่างก็มีความขยันหมั่นเพียร มีความดี แต่คนหนึ่งร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคออด ๆ แอด ๆ  เวลาเลือก คนขี้โรคก็ไม่ได้รับเลือก  นี้ก็เรียกว่า “อุปธิวิบัติ”

ในเรื่อง “คติ” คือ ที่ไปเกิด ถิ่นฐาน ทางดำเนินชีวิต ถ้าจะอธิบายแบบช่วงยาวข้ามภพข้ามชาติก็เช่นว่า  คนหนึ่งทำกรรมมาดีมาก ๆ เป็นคนที่สั่งสมบุญมาตลอด แต่พลาดนิดเดียวไปทำกรรมชั่วนิดหน่อย แล้วเวลาจะตาย จิตไปประหวัดถึงกรรมชั่วนั้น กลายเป็น “อาสันนกรรม” ทำให้ไปเกิดในนรก  พอดีช่วงนั้นพระพุทธเจ้ามาอุบัติ  ทั้งที่แกสั่งสมบุญมาเยอะ ถ้าได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส แกก็มีโอกาสมากที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงได้  แต่แกไปเกิดอยู่ในภพที่ไม่มีโอกาสเลยก็เลยพลาด  นี่เรียกว่า “คติวิบัติ”

ทีนี้พูดช่วงสั้นในชีวิตประจำวัน สมมติว่าท่านเป็นคนมีสติปัญญาดี แต่ไปเกิดในดงคนป่า  แทนที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกล้าสามารถอย่างไอน์สไตน์ก็ไม่ได้เป็น  อาจจะมีปัญญาดีกว่าไอน์สไตน์อีก แต่เพราะไปเกิดในดงคนป่าจึงไม่มีโอกาสพัฒนาปัญญานั้น  นี่เรียกว่า “คติเสีย” ก็ไม่ได้ผลนี้ขึ้นมา  นี่คือ “คติวิบัติ”

ข้อต่อไป “กาลวิบัติ”  เช่น  ท่านอาจจะเป็นคนเก่งในวิชาการบางอย่าง ศิลปะบางอย่าง แต่ท่านมาเจริญเติบโตอยู่ในสมัยที่เขาเกิดสงครามกันวุ่นวาย และในระยะที่เกิดสงครามนี้เขาไม่ต้องการใช้วิชาการหรือศิลปะด้านนั้น เขาต้องการคนที่รบเก่ง มีกำลังกายแข็งแรง กล้าหาญ เก่งกล้าสามารถ และมีวิชาที่ต้องใช้ในการทำสงคราม  วิชาการและศิลปะที่ท่านเก่งเขาก็ไม่เอามาพูดถึงกัน  เขาพูดถึงแต่คนที่รบเก่ง สามารถทำลายศัตรูได้มาก  ท่านก็ไม่ได้รับการยกย่องเชิดชู  เป็นต้น  นี่เรียกว่า “กาลวิบัติ” สำหรับท่านหรือนายคนนี้

ข้อสุดท้ายคือ “ปโยควิบัติ”  มีตัวอย่างเช่น  ท่านเป็นคนวิ่งเร็ว ถ้าเอาการวิ่งมาใช้ในการแข่งขันกีฬา ท่านก็อาจมีชื่อเสียง เป็นผู้ชนะเลิศในทีมชาติหรือระดับโลก  แต่ท่านไม่เอาความเก่งในการวิ่งมาใช้ในทางดี ท่านเอาไปวิ่งราวลักขโมยของเขา ก็เลยได้รับผลร้าย  ถูกจับขังคุกหรือเสียคนไปเลย  นี้เป็น “ปโยควิบัติ”

ว่าที่จริง ถ้าไม่มุ่งถึงผลภายนอกหรือผลข้างเคียงสืบเนื่อง การเป็นคนดี มีความสามารถ การเป็นคนป่าที่มีสติปัญญาดี การมีศิลปะวิชาการที่ชำนาญอย่างใดอย่างหนึ่ง ตลอดจนการวิ่งได้เร็ว มันก็มีผลดีโดยตรงของมันอยู่แล้ว และผลดีอย่างนั้นมีอยู่ในตัวในทันทีตลอดเวลา  แต่ในการที่จะได้รับผลต่อเนื่องอีกขั้นหนึ่งนั้น เราจะต้องเอาหลัก “สมบัติ-วิบัติ” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

----------------------------------------------------------------------------------------

 

จากคำอธิบายของสมเด็จฯ (ป. อ. ปยุตฺโต) จะเห็นว่ากฎแห่งกรรมมีหลักที่ชัดเจนอยู่แล้ว  ทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่ว  จะดีหรือชั่วก็จบในตัวเอง  ไม่มีทางที่ทำชั่วแล้วจะไม่ได้ความชั่ว  และเมื่อทำชั่วแล้ว กฎแห่งกรรมก็จะมีวิธีตอบสนองการทำชั่วนั้นอย่างยุติธรรมโดยไม่จำเป็นต้องให้คนดูอย่างเรามารับรู้ด้วย  เช่น  วิบากกรรมอาจจะกำลังเผาลนจิตใจของคนทำผิดให้ร้อนรุ่มทุรนทุรายอยู่ลึก ๆ ข้างใน

สิ่งที่คนดูอย่างเราจะรับรู้ได้ก็คือ "ผลข้างเคียง" อันได้แก่การลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของเหตุและผลที่ต่อเนื่องไปอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเรื่อง "สมบัติ" (เช่น เกิดมารวย ต่อรองกับกฎหมายได้) และ "วิบัติ" (เกิดมาจน ไม่มีอำนาจต่อรอง จะถูกจับไปวางตรงไหนก็ได้) รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น กฎหมาย กฎเกณฑ์และค่านิยมทางสังคม ตามที่สมเด็จฯ ท่านได้อธิบายไว้

ที่มา : หนังสือ "เชื่อกรรม-รู้กรรม-แก้กรรม" โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)