เปลี่ยนความเชื่อ...เพื่อความดี!! ป.อ. ปยุตฺโต ยืนยัน "บริจาคอวัยวะ" คือบุญกุศลยิ่งใหญ่ ... ไม่ทำให้ใคร "พิการในชาติหน้า" อย่างที่เชื่อกัน!!

รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า “การบริจาคอวัยวะ” เป็นการทำความดีที่ยิ่งใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงการยอมเสียสละสิ่งที่มีค่าของตัวเองเพื่อช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นให้อยู่รอดปลอดภัย  แต่ในขณะเดียวกัน การบริจาคอวัยวะก็มาพร้อมกับความเชื่ออย่างหนึ่งที่ทำให้หลายคนกังวล ไม่สบายใจ และไม่กล้าที่จะบริจาคอวัยวะให้ใคร นั่นก็คือความเชื่อว่า “ถ้าบริจาคอวัยวะ ชาติหน้าเกิดมาจะมีอวัยวะไม่ครบ”!! ... ซึ่งความเชื่อนี้ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะหลายแห่งต้องเผชิญในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาร่วมบริจาค

 

เปลี่ยนความเชื่อ...เพื่อความดี!! ป.อ. ปยุตฺโต ยืนยัน "บริจาคอวัยวะ" คือบุญกุศลยิ่งใหญ่ ... ไม่ทำให้ใคร "พิการในชาติหน้า" อย่างที่เชื่อกัน!!

 

ครั้งหนึ่ง นายแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยมีโอกาสได้ไปสนทนาธรรมกับ “พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)” (สมณศักดิ์ในขณะนั้นของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) ที่วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม และได้เรียนถามปัญหาดังกล่าว และพระเดชพระคุณท่านก็ให้คำตอบชัดเจนตามหลักการของพุทธศาสนาไว้ว่า ...

 

เปลี่ยนความเชื่อ...เพื่อความดี!! ป.อ. ปยุตฺโต ยืนยัน "บริจาคอวัยวะ" คือบุญกุศลยิ่งใหญ่ ... ไม่ทำให้ใคร "พิการในชาติหน้า" อย่างที่เชื่อกัน!!

[สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)]

“ตามปกติ พุทธศาสนาไม่มีข้อห้ามเรื่องการบริจาคอวัยวะ มีแต่จะสนับสนุน เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์และมีความสุข ...

การบริจาคนี้เป็นการให้ เรียกว่า “ทาน” คือการให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น  โดยเฉพาะในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ซึ่งเรียกว่า “ทานบารมี” นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นถือเป็นความดีที่จำเป็นต้องทำเลยทีเดียว เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจในการเสียสละเพื่อความดี ...

ส่วนความเชื่อที่ว่า ‘ถ้าให้อวัยวะเขาไปแล้วในชาตินี้ เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ’ นั้นไม่จริงเลย  เพราะในหลักฐานทางคัมภีร์ได้แสดงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงบริจาคนัยน์ตา จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงได้ ‘สมันตจักษุ’ คือเป็นพระเนตรหรือดวงตาที่เป็นพิเศษสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราแปลว่าเป็นดวงตาที่มองเห็นโดยรอบ  ไม่ใช่ดวงตาที่เป็นวัตถุอย่างเดียว แต่หมายถึงดวงตาทางปัญญาด้วย  และในแง่คัมภีร์ก็สนับสนุนชัดเจนว่าชาติหน้ามีแต่ผลดี

ส่วนในแง่เหตุผล  ที่เข้าใจกันว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว เกิดมาอวัยวะจะบกพร่อง เหตุผลที่ถูกต้องไม่ใช่อย่างนั้น  เราต้องมองว่าชีวิตที่เกิดมานี้ จิตใจเป็นส่วนสำคัญในการปรุงแต่งสร้างสรรค์  อย่างเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเรามีเมตตา คิดดี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อไปหน้าตาเราจะถูกปรุงแต่งให้แจ่มใสเบิกบาน  ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดร้ายต่อผู้อื่น มักโกรธ อยากจะทำร้ายรังแกเขาอยู่เรื่อย หน้าตาก็จะบึ้งตึง เครียด หรือถึงกับดูโหดเหี้ยม  นี้เป็นผลมาจากสภาพจิตที่เคยชินในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในชาติปัจจุบันนี้เอง

ทีนี้ ชีวิตที่จะเกิดต่อไปก็จะต้องอาศัยจิตที่มีความสามารถในการปรุงแต่ง  ขอให้คิดง่าย ๆ ว่า คนที่จะบริจาคอวัยวะให้คนอื่นก็คือปรารถนาดีต่อเขา อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ หายเจ็บป่วย อยากให้เขาเป็นสุข  จิตอย่างนี้ในตอนคิดก็เป็นจิตที่ดี คือจิตใจยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุข ความดีงาม ความเจริญ  จิตก็จะสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในด้านนี้  ถ้าคิดบ่อย ๆ จิตก็จะยิ่งมีความสามารถและมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะปรุงแต่งให้ดี และคุณสมบัตินี้ก็จะฝังอยู่เป็นสมรรถภาพของจิต

เพราะฉะนั้น ในการบริจาคเราจึงต้องทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ประกอบด้วยคุณธรรม มีเมตตา ปรารถนาดี และอันนี้แหละที่จะทำให้เราได้บุญมาก

ตรงกันข้ามกับคนที่คิดร้ายอยู่เสมอ คิดแต่จะโกรธ คิดแต่จะรังแกสัตว์ อยากจะทำร้ายคนโน้นคนนี้  คนที่คิดทำร้ายเขานั้น จิตจะคิดจะนึกถึงการบุบสลาย ความเจ็บปวด อาการมีเลือดไหล สภาพแตกหัก แหว่งวิ่น บกพร่อง ขาดหาย และการสูญเสียที่ร้าย ๆ ไม่ดีทั้งนั้น  และเมื่อคิดอยู่เสมอ จิตก็มีความโน้มเอียงที่จะคิดในแง่นี้ และก็จะพัฒนาความสามารถที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี ในการทำลาย ในการแตกสลาย  คิดถึงชีวิต คิดถึงคนเมื่อไร ก็จะมองเห็นแต่รูปร่างไม่ดี บุบสลาย แขนขาด ขาขาด เจ็บปวดทรมาน  นานเข้าบ่อยเข้า คนอย่างนี้ก็จะหมดความสามารถในการปรุงแต่งในทางที่ดี

คนที่ทำร้ายคนอื่น ชอบรังแกข่มเหงคนอื่น หรือคิดร้ายอยู่เสมอ เมื่อไปเกิดใหม่ก็จะมีปัญหาเรื่องความบกพร่องของอวัยวะ มักเจ็บป่วย ประสบอันตรายอะไรต่าง ๆ เพราะว่าจิตสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในทางไม่ดีจนฝังลึก เรียกว่าลงร่องอย่างนั้น แล้วมันก็ปรุงแต่งชีวิตร่างกายของตัวให้เป็นไปในทางนั้น หรือได้อย่างนั้น แค่นั้น

ในทางตรงกันข้าม  จิตที่พัฒนาความสามารถในทางที่ดี  เช่น  เมื่อบริจาคอวัยวะ เราคิดถึงคนอื่นในทางที่ดี มีกรุณาธรรม การที่เราบริจาคอวัยวะให้เขานั้นก็คือจะทำให้เขามีร่างกายหรืออวัยวะสมบูรณ์ขึ้น พ้นจากความบกพร่อง ให้เขาหน้าตาผ่องใส ให้เขามีชีวิตอยู่กับครอบครัวญาติมิตรของเขาอย่างมีความสุข  ความคิดอย่างนี้ ยิ่งจิตเราคิดบ่อยก็ยิ่งดี  เมื่อเราคิดหรือนึกถึงบ่อย ๆ จิตของเราก็จะมีความโน้มเอียง พร้อมทั้งพัฒนาความสามารถที่จะปรุงแต่งให้ดี

พอไปเกิดใหม่ จิตจะปรุงแต่งอะไรก่อนล่ะ ... จิตก็ต้องปรุงแต่งชีวิตของตัวเองนั่นแหละ  เมื่อจิตสะสมมามีความโน้มเอียงและมีความสามารถในทางที่ดีอย่างนั้น มีแต่ภาพของร่างกายและอวัยวะที่สวยงามสมบูรณ์ซึ่งได้สะสมไว้ มันก็จะปรุงแต่งชีวิตร่างกายและรูปร่างหน้าตาให้ดี ให้งาม ให้สมบูรณ์

อันนี้ก็เป็นเหตุผลในเรื่องของกรรม คือหลักกรรมหรือกฎแห่งกรรมตามธรรมชาตินั่นเอง

ในเรื่องของกรรมนั้น “เจตนา” เป็นตัวการสำคัญในการปรุงแต่ง  และจุดแรกเมื่อคนเกิดคือเริ่มชีวิตขึ้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องปรุงแต่งชีวิตของตนนั้นเอง  มันไม่ปรุงแต่งที่ไหนอื่น  มันก็ใช้ความสามารถนั้นปรุงแต่งชีวิตของตนเองนั่นแหละก่อนอื่น  มันมีความโน้มเอียงและความสามารถอย่างไรก็ปรุงแต่งอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจึงแน่นอนว่าไม่มีปัญหาในเรื่องการบริจาคอวัยวะ ไม่มีปัญหาขัดข้องทางพระพุทธศาสนาและเหตุผลตามกฎธรรมชาติ แต่มีเหตุผลในทางสนับสนุน”

... ... ...

ฟังคำตอบของพระเดชพระคุณท่านแล้วก็น่าจะช่วยให้คนที่เชื่อว่า “บริจาคอวัยวะแล้วชาติหน้าจะพิการ” เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะและกล้าที่จะบริจาคอวัยวะของตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

 

เปลี่ยนความเชื่อ...เพื่อความดี!! ป.อ. ปยุตฺโต ยืนยัน "บริจาคอวัยวะ" คือบุญกุศลยิ่งใหญ่ ... ไม่ทำให้ใคร "พิการในชาติหน้า" อย่างที่เชื่อกัน!!

------------------------------------------------------------------------

ที่มา : หนังสือ "การแพทย์ยุคใหม่ในพุทธทัศน์" โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)