- 04 พ.ค. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ http://www.tnews.co.th
“ท่านพุทธทาสภิกขุ” เคยเขียนประสบการณ์ในอดีตของท่านไว้ในบันทึกเล่มหนึ่ง เนื้อหาในบันทึกเล่มนั้นเล่าว่า
“สถานที่นี้เป็นสถานที่เมื่อฉันมาอยู่ก็ยังเป็นสถานที่กลัวเกรงของคนทั่วไป มีผู้ชายหลายคนแม้กลางวันแสกๆ คนเดียวไม่กล้าไปที่โบสถ์นั้น เนื่องจากความเชื่อในผีสางหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้และเถาวัลย์จึงพากันกำเริบแน่นทึบไปหมด นอกจากบ่อเก่าๆ พังมิพังแหล่ เหลืออยู่บ่อหนึ่ง ห่างจากโบสถ์ประมาณห้าสิบเมตร พออาศัยใช้น้ำได้บ้างแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่ามิใช่ของมีเองตามธรรมชาติ
ความสะดุ้งหวาดเสียวชนิดใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าไว้ในบาลี (ภยเภรวสูตร) ฉันรู้สึกว่า ฉันได้เสพคบกับความหวาดเสียวชนิดเดียวกันนั้นมาแล้วอย่างมีปริมาณไม่น้อย เพราะฉันก็เช่นเดียวกับท่านผู้อ่านส่วนมาก คือมิได้ชินกับป่าด้วยการกำเนิดและเติบโตในป่า ทั้งที่ฉันได้เคยศึกษาพระบาลีนั้นมาแล้วก่อน แต่ไปอยู่เปลี่ยวๆ คนเดียวเช่นนั้น ฉันก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยเหตุนั้นกี่มากน้อยเลย ...
เพียงเท่านี้ก็แสดงว่า การสู้รบกับ ‘ความหวาดกลัว’ อันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ เป็นปัญหาอันยากเย็นเพียงไร
ความคาดคะเนอยู่ในห้องเมื่อยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ว่า ฉันจะตั้งหลักของฉันเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ๆ เช่นนั้นๆ เป็นสิ่งที่ใช้อะไรไม่ได้เลย เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ ‘หลัก’ อะไรมากมายนัก แต่อยู่ที่ ‘ความมากน้อยของกำลังใจ’ และ ‘ความช้าหรือเร็วของสติ’ และ ‘ความเคยชินหรือไม่’ เป็นส่วนใหญ่
รสชาติของการอยู่คนเดียวในสถานที่อันสงัดและดึกสงัดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจบอกให้เข้าใจกันได้ด้วยตัวหนังสือหรือด้วยการนึกเทียบเอาจากการที่อยู่ในที่อันเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่เคยไปอยู่ มีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าได้ ‘ริบ’ เอากำลังใจไปเสียหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้สึกตนว่าได้อยู่ผู้เดียวในที่ที่ปราศจากสิ่งคุ้มครองแต่อย่างใด ยิ่งเมื่อมีอะไรหวอหรือโครมครามวูดวาดออกมาในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวและเพิ่งประสบเป็นครั้งแรก ย่อมเป็นการเหลือวิสัยที่จะไม่ให้เกิดการสะดุ้ง
ครั้นกำลังใจค่อยเข้มแข็งขึ้น สติค่อยรวดเร็วขึ้น สิ่งนั้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นธรรมดาไป เพราะฉะนั้นต้องให้เวลาอย่างน้อยสัก ๗ วัน สำหรับบทเรียนขั้นต้นนี้ เพื่อฝึกฝนการใช้หลักอย่างใดอย่างหนึ่งจนกว่าจะได้ผลที่พอใจ
เมื่อกำลังใจและสติยังสมบูรณ์อยู่กับตัวก็อยากลองไปเสียทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่อยากลองให้เสือกัด งูกัด หรือให้ผีหลอก และให้ภูตหรือเปรตมาหา สนทนาปราศรัยกัน ทั้งนี้เพื่อถือเอาเป็นโอกาสสำหรับศึกษาสิ่งเหล่านั้นด้วย และทดลองกำลังน้ำใจของตนเองด้วย แต่ดูเหมือนโชคไม่เคยอำนวยให้เป็นเช่นนั้นเลย ความกลัวกลายเป็นของหลอกและกลัวเปล่าๆ ซึ่งนับว่าขาดทุนสมแก่ความโง่ขลาดของตัวที่ไปกลัวมันเอง
ฉะนั้น ถ้าหากเราจะมีปัญญาหรือเหตุผลพอๆ แก่การรักษาตัวแล้ว เราหวังได้ก็แต่ความปลอดภัยและโอกาสแห่งการศึกษาที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่เคยกลัวกลายเป็นของธรรมดามากเข้า จนบางครั้งกลายเป็นวัตถุแห่งความขบขัน และเราจะพบตัวเราเองว่าเปลี่ยนไปจนจะเป็นคนละคน และเมื่อเป็นไปโดยทำนองนี้มากเข้า อุปสรรคอันเกิดจากความกลัวที่คอยเกียดกันความเป็นสมาธิแห่งจิตก็มีน้อยเข้าและหมดสิ้นไปในที่สุด สามารถจะนั่งอยู่คนเดียวในที่โล่งในกลางคืนอันสงัด โดยปราศจากเครื่องคุ้มครองอย่างใดนอกจากจีวรที่ห่มอยู่ และมีจิตแน่วไปในการฝึกฝนได้ตามปรารถนา”
[พุทธทาสภิกขุ]
สมัยที่ท่านพุทธทาสออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่สวนโมกข์เก่าที่เมื่อก่อนยังมีสภาพเป็นป่าทึบนั้น ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดมิดและวังเวง แล้ววันหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตในสภาพแบบนั้นอยู่นานหลายปี ท่านก็สรุปว่า
“สิ่งที่เราหวาดกลัวทั้งหลายทั้งมวลล้วนมาจากใจของเราทั้งสิ้น”!!
ท่านพุทธทาสไม่เคยพบเห็น “สิ่งเหนือธรรมชาติ” ใด ๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในสวนโมกข์!!
ท่านพุทธทาสนั้นเป็นบุคคลที่ชาวพุทธต่างก็เคารพศรัทธาว่าเป็นพระดี เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งพระแบบนี้ตามคติความเชื่อของพุทธศาสนาถือว่าเป็นบุคคลที่ “โอปปาติกะ” (เช่น ภูตผีเทวดา) ที่ต้องการความช่วยเหลือจะเลือกไปปรากฏตัวให้เห็นมากที่สุด แต่แล้วก็ไม่พบว่ามีโอปปาติกะตนใดไปปรากฏตัวให้ท่านเห็นเลย
อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์เช่นนี้กระมังที่ทำให้ท่านพุทธทาสอธิบายเรื่องโอปปาติกะว่าเป็นเพียง “สภาพทางจิตใจของมนุษย์” ไปหมด จนมีคนค่อนขอดว่าท่านไม่เชื่อเรื่อง “ภพภูมิ” หรือ “ภูตผีเทวดา” เพราะในอีกด้านหนึ่ง พระป่ากรรมฐานทางภาคอีสานมักจะมีประสบการณ์ในการพบเจอกับโอปปาติกะอยู่บ่อยครั้งจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา อย่างเช่นตำนานของ "พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ที่เขียนโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
---------------------------------------------------------------------------
ที่มา : บทความ "พุทธทาสศึกษา : สิบปีเกี่ยวกับสวนโมกขพลาราม"