แม่นจนขนลุก!!! เผยคำทำนายของแขกเลี้ยงวัว เมื่อได้เห็นดวงชะตาของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ในปี ๒๔๘๙ ...ฟ้าลิขิตให้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ tnews.co.th

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙...
ปีนั้นนับเป็นปีแรกที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคล (หม่อมเจ้านักขัตรมงคล เป็นพระโอรสพระองค์ที่ ๓ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕) และหม่อมเจ้าอัปสรสมาน เทวกุล) ต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งรัฐทูตวิสามัญและอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม ประจำสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ ได้ทรงพาหม่อมหลวงบัว กิติยากร (หม่อมหลวงบัว (สกุลเดิม สนิทวงศ์) เป็นธิดาของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (ม.ร.ว.สท้าน สนิทวงศ์) และท้าววนิดาพิจาริณี (คุณบาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา)) ตลอดจนโอรสและธิดาทั้งหมด (ม.ร.ว.กัลยาณกิติ์ กิติยากร ม.ร.ว.อดุลกิติ์ กิติยากร ม.ร.ว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร และ ม.ร.ว.หญิงบุษบา กิติยากร) ไปอยู่ด้วย กระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ จึงย้ายไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำประเทศเดนมาร์ก และมาที่ประเทศฝรั่งเศส ตามลำดับ

สำหรับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์แล้ว ชีวิตในช่วงวัยเยาว์กระทั่งเติบโตเข้าสู่วัยสาวรุ่น เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการเดินทาง และหลากหลาย “สีสัน” อันเกิดจาก “ความเปลี่ยนแปลง” ทั้งที่เกิดขึ้นภายในตัวตน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภายนอก
ในช่วงที่หม่อมหลวงบัวตั้งครรภ์หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์นั้น เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หม่อมเจ้านักขัตรมงคลซึ่งแต่เดิมทรงรับราชการทหารจนได้รับพระราชทานยศพันเอก ก็ได้ทรงออกจากประจำการ และได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลให้ไปรับตำแหน่งเลขานุการเอก ประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หม่อมหลวงบัวที่กำลังครรภ์แก่จึงกลับไปอยู่ที่บ้านของบิดาและมารดา คือบ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ที่ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ (สะพานเหลือง) อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร
กระทั่ง วันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ทารกน้อยธิดาคนแรกของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงถือกำเนิดขึ้นที่บ้านของ “ท่านตา” นั่นเอง และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร” ทั้งนี้ โดยมีฐานันดรอยู่ในชั้น “หม่อมราชวงศ์”
 
๓ เดือนหลังจากให้กำเนิดธิดา คือในเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้นเอง หม่อมหลวงบัวจึงได้เดินทางไปสมทบกับหม่อมเจ้านักขัตรมงคลที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 
หม่อมราชวงศ์หญิงผู้เยาว์วัยจึงต้องอยู่ห่างไกลจากพระบิดาและพระมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ โดยหม่อมหลวงบัวได้มอบคุณหญิงให้อยู่ในความพิทักษ์ดูแลของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ และท้าววนิดาพิจาริณี ซึ่ง 
“ท่านตา-ท่านยาย” ทั้งคู่ก็เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่ต่อหม่อมราชวงศ์หญิงผู้นี้อย่างยิ่ง กระทั่งว่าหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เป็นหลานคนแรกที่เรียกเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ ว่า “ตาจ๋า” ติดปากทุกคำ ในขณะที่หลานคนอื่นๆ ล้วนเรียกขานท่านด้วยความเคารพยำเกรงว่า “คุณตา”

แม่นจนขนลุก!!! เผยคำทำนายของแขกเลี้ยงวัว เมื่อได้เห็นดวงชะตาของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ในปี ๒๔๘๙ ...ฟ้าลิขิตให้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน

นอกจากนี้ ในบางคราว “ท่านย่า” คือหม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ก็ทรงรับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ผู้เป็นนัดดา ร่วมเดินทางไปต่างจังหวัดด้วย เช่นในคราวที่ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปอยู่ที่จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ 
จึงนับว่าในวัยเยาว์ของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการเดินทางและความเปลี่ยนแปลงโดยแท้
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงลาออกจากตำแหน่งและกลับประเทศไทย ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ได้ทรงตอบรับคำกราบบังคมทูลเชิญจากคณะรัฐมนตรีในยุคนั้น (สมัยแรกของรัฐบาลยุคที่พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี)  ให้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรีในเวลาต่อมา
 
ดังนั้น หลังจากต้องห่างจากพระบิดาและพระมารดาตั้งแต่เมื่อครั้งอายุเพียง ๓ เดือน ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ นั้นเอง หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ซึ่งขณะนั้นอายุได้ ๒ ขวบ ๖ เดือน จึงย้ายจากบ้าน “ท่านตา” ย่านสะพานเหลือง กลับมาอยู่พร้อมหน้าครอบครัว “กิติยากร” อีกครั้ง ณ ตำหนัก ในวังเทเวศร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่คุณหญิงกลับไปค้างบ้านของ “ท่านตา” ที่เธอคุ้นเคยเป็นอันดี
ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์มาพักกับ “ท่านตา” นั้นเอง ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และนำมาสู่การล้อเลียนภายในครอบครัวเป็นที่สนุกสนานยิ่งในเวลาต่อมา
เนื่องจากในวันหนึ่ง พี่เลี้ยงได้อุ้มหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ในวัย ๒ ขวบ กว่าๆ ออกไปเดินเล่น ประจวบกับขณะนั้นมี “แขก” ชาวอินเดีย ซึ่งเรียกกันว่า “แขกเลี้ยงวัว” ที่เป็นเพื่อนของ “แขกยาม” ประจำบ้าน ได้แวะมาหากัน พอแขกเลี้ยงวัวเหลือบมาเห็นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็จ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกพี่เลี้ยง เพื่อจะขอเห็นหน้าหม่อมราชวงศ์หญิงองค์น้อยให้ชัดๆ จนเมื่อได้เห็นในระยะใกล้แล้วแขกเลี้ยงวัวคนนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ต่อไปจะได้เป็นมหารานี”
พี่เลี้ยงได้ฟังก็ชอบใจ นำไปเล่าให้คนในบ้านฟัง ซึ่งแม้จะเป็นคำทำนายที่ออกจะ “เกินจริง” อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ผู้ได้ฟังพลอยอมยิ้มด้วยความ “เอ็นดู” ในความน่ารักของ “มหารานีน้อย” ผู้นี้ไปตามๆ กัน
ต่อมาเมื่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เจริญวัยขึ้น เลยเป็นเหตุให้คุณ
พี่ชายทั้งสองคนเอามาล้อเป็นที่ขบขันว่า เป็นราชินีแห่งอบิสซิเนีย บางครั้ง
ถึงกับทำให้ผู้ถูกล้อต้องนั่งร้องไห้ด้วยความอายและเจ็บใจ แต่พี่ชายทั้งสองก็ยังไม่หยุดล้อ กลับเอาเศษผ้าม่านขาดๆ มาทำเป็นธงโบกอยู่ไปมา พร้อมทั้งบอกว่าเป็นธงประจำตัวของพระราชินี เหตุการณ์เหล่านี้ยังเป็นที่ขบขันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เมื่อมีการกล่าวถึงความหลัง (ท่านผู้หญิง
เกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เล่าไว้ในหนังสือ “เป็น อยู่ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”)

ล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์มีอายุได้ ๔ ขวบ ท่านได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกในชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี แต่ครั้นเมื่อมีอายุย่าง ๘ ขวบ ก็ต้องย้ายโรงเรียน ด้วยแม้ในขณะนั้นเหตุการณ์ด้านการเมืองภายในประเทศไทยจะสงบลงแล้ว แต่ครั้นเข้าสู่ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นต้นมา สงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่สอง) ก็ปะทุขึ้นและเริ่มแผ่ขยายมาถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานครถูกโจมตีทางอากาศหลายครั้งจนการคมนาคมไม่สะดวก ทำให้หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ เนื่องจากโรงเรียนนี้อยู่ใกล้วังพระบิดา 

แต่ในปีต่อมา (พ.ศ. ๒๔๘๓) ท่ามกลางสถานการณ์ความร้อนแรงของไฟสงครามนั้นเอง ก็มีเหตุให้คุณหญิงและครอบครัวต้องโศกสะเทือนใจซ้ำอีก เมื่อ พลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ ล้มป่วยด้วยไข้มาลาเรียและเบาหวาน บวกกับโรคหัวใจ ทั้งอยู่ในวัยชรา แม้จะได้ระวังรักษาอาการอย่างกวดขันแล้วก็ตาม ที่สุดแล้ว “ตาจ๋า” ของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ก็จากไปในเดือนตุลาคมปีนั้นเอง 
กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงได้ราวหนึ่งปี (ในฝั่งยุโรป เยอรมนีประกาศยอมจำนนในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ ๘ พ.ค. ๒๔๘๘ ขณะที่ฝั่งเอเชียนั้นสงครามยังคงดำเนินต่อไป แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็ประกาศยอมแพ้สงคราม เมื่อวันที่ ๑๕ ส.ค. ๒๔๘๘ จากนั้นประเทศไทยก็ประกาศสันติภาพในวันถัดมา คือวันที่ ๑๖ ส.ค. ๒๔๘๘)  หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ทูลขอให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะย้ายไปประจำที่ประเทศเดนมาร์ก และประเทศฝรั่งเศส ในปีถัดมา (พ.ศ. ๒๔๙๐) โดยการเสด็จทั้ง ๓ ประเทศในครั้งนี้ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลได้พาหม่อมหลวงบัวและโอรสธิดาทั้งหมดย้ายตามไปด้วย

แม่นจนขนลุก!!! เผยคำทำนายของแขกเลี้ยงวัว เมื่อได้เห็นดวงชะตาของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ในปี ๒๔๘๙ ...ฟ้าลิขิตให้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน

แม่นจนขนลุก!!! เผยคำทำนายของแขกเลี้ยงวัว เมื่อได้เห็นดวงชะตาของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ในปี ๒๔๘๙ ...ฟ้าลิขิตให้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน
 


สำหรับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์แล้ว กรุงปารีส ณ เวลานั้น (พ.ศ. ๒๕๙๐) นับเป็นสถานที่ที่แปลกใหม่ซึ่งคุณหญิงไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ซึ่งระยะทางที่ไกลแสนไกลจากดินแดนมาตุภูมิเช่นนี้ ก็ทำให้คุณหญิงวัย ๑๕ ปี รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับเป็นช่วงเวลาที่ดีอีกช่วงหนึ่ง ที่สมาชิกใน “ครอบครัวกิติยากร” ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอีกครั้ง 
ที่สำคัญยิ่งก็คือ...ดินแดนแห่งนี้ คือสถานที่ที่ทำให้คุณหญิงได้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก กระทั่งได้ทำหน้าที่ถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระองค์ท่านเสมอมานับจากนั้น...
นอกจากนี้ ณ กรุงปารีสแห่งนี้...ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้หม่อมราชวงศ์สาวสวย ได้พบพานและ “ทำความรู้จัก” กับ “ความรัก” เป็นครั้งแรกในชีวิต...

ที่มาจากหนังสือเรื่อง ๗๐ ปีรักแท้ของในหลวงพระราชินี

แม่นจนขนลุก!!! เผยคำทำนายของแขกเลี้ยงวัว เมื่อได้เห็นดวงชะตาของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ ในปี ๒๔๘๙ ...ฟ้าลิขิตให้ทรงเป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน

สอบถามเพิ่มเติม โทร02-5254242 ต่อ 201 ,202  @gppbook