- 10 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th
วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนาสำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก ทั้งเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ และวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธโคดม โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย และมักตรงกับเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนตามปฏิทินจันทรคติของไทย
ลำดับเหตุการณ์พระพุทธองค์ปรินิพพาน กับโอวาทธรรมครั้งสุดท้าย
ในวันที่พระองค์ทรงจะเสด็จปรินิพพานนั้น ทรงเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติ 9 มีรูปฌาน 4 คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จากนั้นเป็นอรูปฌาน 4 คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เรียกรวมเป็น สมาบัติ 8) และ นิโรธสมาบัติ 1 ชื่อเต็มคือสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วย้อนลงมาตามลำดับจนถึงปฐมฌาน แล้วย้อนขึ้นอีกเป็น ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นปัจฉิมสมาบัติ เมื่อออกจากจตุตถฌานจึง เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระพุทธองค์ตรัสถึงความดับสมุทัยอันเป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ (เสด็จดับขันธปรินิพพาน) ไว้เมื่อคราวทรงพระชนม์อยู่ว่า
...ต้นไม้ เมื่อโคนต้นยังอยู่ ไม่มีอุปัทวะ แม้ถูกตัด (ส่วนบน) แล้วก็งอกได้อีกอยู่นั่น ฉันใดก็ดี แม้ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น เมื่อตัณหานุสัยยังมิได้ถูกถอนทิ้งแล้ว ก็ได้เกิดร่ำไป...
— สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ขุ. ธ. 25/338/138
กล่าวคือ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเพราะความดับไปแห่งสมุทัย คือ ได้ทรงถอนเสียสิ้นซึ่งต้นและราก กิเลสตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนี้แล้วเมื่อในวันตรัสรู้[26] การเสด็จดับขันธปรินิพพานนี้จึงเป็นการตายครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์ โดย "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ" (สิ้นตัณหาเมื่อคราวตรัสรู้ และสิ้นขันธ์ห้า เมื่อคราวปรินิพพาน)
เมื่อนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ โลมชาติลุกขึ้นชูชัน กลองทิพย์บรรลือลั่นไปในอากาศ ไว้อาลัยแด่การจากไปของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นบรมครูของโลก กายของพระองค์สิ้นเชื้อคือตัณหาที่จะนำไปเกิดในภพใหม่ ครั้นกายแตกดับแล้ว ถึงความเป็นของว่าง ไม่มีอะไรเหลือสำหรับส่วนผสมของกายในภพต่อไป พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในปัจฉิมราตรี วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ตามการนับของไทย
และเนื่องในการรำลึกวันวิสาขบูชานี้เอง ทางทีมข่าวจึงขอรำลึกวินาทีสำคัญของ พ่อแม่ครูบาอาจารย์รูปสำคัญในเมืองไทย "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" กับคำสอนสุดท้าย ที่ฝากไว้ก่อนละสังขาร
ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๒ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” อายุได้ ๘๐ ปี และมีอาการอาพาธหนัก เมื่อออกพรรษาแล้ว คณะศิษย์จึงได้ร่วมกันนำท่านจากวัดป่าบ้านหนองผือเพื่อจะไปยังวัดป่าสุทธาวาส และระหว่างทางได้แวะพักที่วัดป่าบ้านภู่
ในช่วงที่พักอยู่ที่วัดป่าบ้านภู่นั้น อาการของหลวงปู่มั่นได้ทรุดลงโดยตลอด
พระอาจารย์ทองคำ จารุวัณโณ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอย่างใกล้ชิด ได้บันทึกไว้ว่า
ในยามรุ่งสางของวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ (หนึ่งวันก่อนวันมรณภาพของหลวงปู่มั่น) ท่านได้เปิดหน้าต่างกุฏิของหลวงปู่มั่นออก และพบว่ามีชาวบ้านนับเป็นร้อย ๆ คนมานั่งเฝ้าอาการของหลวงปู่มั่นอยู่ หลวงปู่มั่นจึงได้กล่าวอบรมญาติโยมว่า
“พวกญาติโยมพากันมามาก...มาดูพระเฒ่าป่วย ดูหน้าตาสิ! เป็นอย่างนี้ละ...ญาติโยมเอ๋ย ไม่ว่าพระ ไม่ว่าคน พระก็มาจากคน มีเนื้อมีหนังเหมือนกัน คนก็เจ็บป่วยได้ พระก็เจ็บป่วยได้ ... สุดท้ายก็คือตาย
ได้มาเห็นอย่างนี้แล้วก็จงพากันไปพิจารณา ... เกิดมาแล้วก็แก่เจ็บตาย
แต่ก่อนจะตาย ทานยังไม่มีก็ให้มีเสีย ศีลยังไม่เคยรักษาก็ให้รักษาเสีย ภาวนายังไม่เคยเจริญก็เจริญเสียให้พอ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วยความไม่ประมาท ... นั้นล่ะจึงจะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน
เท่านี้ล่ะ... พูดมากก็เหนื่อย”!!
ที่มา : หนังสือ “มรณานุสติธรรม” (http://larndham.net)
พระอาจารย์ทองคำ จารุวัณโณ พระอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น