ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

"ไม่มีผู้ใดจะพูดคุยด้วยเลยนอกจากจะพูดเรื่องงาน ทุกคนหลบลี้หนีหน้าไปหมด และหากพ่อพูดด้วย ก็จะยืนระวังตรงตอบเป็นคําๆ เท่านั้น

เราอาจหาทุกอย่างได้ด้วยเวลาและเงินทอง แต่ไม่อาจหาจิตวิญญาณแห่งปัญญา กัลยาณมิตรแห่งอุดมคติได้

พ่อไม่เคยอยากเป็นใหญ่เลย ลูกรัก...

มิได้อยากเป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งก็ต้องเหงายิ่งกว่านี้เสียอีก พ่อจะลาออกหากต้องรับตําแหน่งนี้..."

ข้างต้นคือสารฉบับสุดท้ายจากกรมหลวงชุมพรฯถึงหม่อมเจ้าหญิง จารุพัตรา ก่อนเสด็จในกรมฯจะสิ้นพระชนม์

"พ่อไม่เคยอยากเป็นใหญ่เลย ลูกรัก..." เผยความในพระราชหฤทัย ในสารฉบับสุดท้ายจาก ”กรมหลวงชุมพรฯ” ถึงพระธิดา ก่อนสิ้นพระชนม์

"พ่อไม่เคยอยากเป็นใหญ่เลย ลูกรัก..." เผยความในพระราชหฤทัย ในสารฉบับสุดท้ายจาก ”กรมหลวงชุมพรฯ” ถึงพระธิดา ก่อนสิ้นพระชนม์

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภากร" มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระลูกยาเธอองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓

เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีพระชนม์ ๑๓ ชันษา ได้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษและทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์แรก ที่ศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ ประเทศอังกฤษ ได้ทรงเข้ารับราชการในกองทัพเรือ และทรงบำเพ็ญคุณอเนกอนันต์แก่วงการทหารเรือ จนได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย "

พระองค์ทรงมีพระอุปนิสัยเมตตาต่อผู้คนทั่วไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สามารถผูกใจนักเลงได้ด้วยความเป็นนักเลงที่เหนือกว่า กล่าวคือ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีฐานันดรศักดิ์และความรู้สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับการดำเนินพระจริยาวัตรในทางที่นักเลงสมัยนั้นนิยมกัน เช่น วิชาการต่อสู้ป้องกันตัวทุกรูปแบบ และวิทยาคม จนเป็นที่ร่ำลือว่า ทรงเป็นจอมขมังเวทผู้หนึ่งของยุค

พระจริยวัตรสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความไม่ถือพระองค์ ทรงแสดงให้ทุกคนประจักษ์และซาบซึ้งในพระคุณสมบัติส่วนนี้ตลอดพระชนมชีพ ดังที่มีเรื่องเล่าสืบมาว่า ทรงรักและเอาพระทัยใส่ชีวิตและความเป็นอยู่ของลูกศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งในเวลาและนอกเวลางานอย่างที่สุด

พระชนม์ชีพของพระองค์บางช่วงยังได้สะท้อนถึงกฎไตรลักษณ์ ทรงต้องออกจากราชการที่โปรดปราน แต่ก็มิได้ทรงท้อ กลับทรงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ศึกษาหาความรู้และบูรณาการการแพทย์แผนไทยกับการแพทย์สมัยใหม่ กลายเป็นแพทย์ทางเลือก ทรงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาโรค รับรักษาผู้เจ็บป่วยโดยไม่คิดเงิน ไม่เลือกชั้นวรรณะ

ด้วยพระเมตตาอันเป็นพื้นฐานของพระอุปนิสัย ทั้งความรู้ พระปรีชาสามารถและน้ำพระทัย ทำให้ผู้ที่มีโอกาสได้สัมผัสพระองค์ นึกไปถึงเทพเจ้าที่ทรงลงมาโปรดมนุษย์มากกว่าจะเป็นเจ้านาย ก็เพียงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เหล่าลูกศิษย์รู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง

พระจริยวัตรดังที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องน้อมนำจิตใจของผู้ใกล้ชิดให้ถวายความจงรักภักดีด้วยชีวิต ยิ่งเมื่อประทานความเป็นกันเองโดยทรงเรียกขานพระองค์เองว่า พ่อหรือ เตี่ยก็ยิ่งทำให้สามัญชนทั่วไปรู้สึกว่าสามารถปวารณาตนเป็นลูกของพระองค์ได้โดยไม่มีช่องว่างระหว่างชนชั้น

แม้ปลายพระชนม์ชีพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ก็ทรงรับไว้เพียงเป็นพิธีเท่านั้น ไม่กี่วันก็ได้กราบบังคมลาออกจากราชการ เพื่อใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ณ พระตำหนักหาดทรายรี ที่เงียบสงบ จ.ชุมพร

แล้ว ณ หาดทรายรีแห่งนี้ ก็เป็นสถานที่สุดท้ายที่

เสด็จประทับ.. พระองค์ได้ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ เพียง ๓ วัน

วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖ ทรงขอดอกไม้ ธูป

เทียนจากมหาดเล็ก แล้วเสด็จเข้าห้องพระบรรทมเวลาผ่านไป...

ปกติกรมหลวงชุมพรฯ จะทรงมีพระสุรเสียงอันดัง

ทว่าวันนั้น เงียบผิดสังเกต มหาดเล็กจึงตัดสินใจผลักบานประตูห้องพระบรรทม ก็ต้องตกใจยิ่งเมื่อพบพระวรองค์สงบนิ่ง ทอดเหยียดยาวบนพระแท่น ดอกไม้ ธูป เทียนอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ในท่าทรงสักการะพระรัตนตรัย กลิ่นธูป ควันเทียนและดอกไม้ยังอบอวลอ้อยอิ่งดุจถวายอาลัย...

"เสด็จในกรมฯ สิ้นแล้ว" มหาดเล็กตะโกนด้วยเสียงอันสั่นเครือ

แม้ว่าดวงพระวิญญาณ ของพระองค์จะทรงสถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์แล้ว ความรัก ความเทิดทูนของผู้คนยังตราตรึงมิรู้เลือน เชื่อว่าพระบารมีของพระองค์ยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ คอยปกป้องคุ้มครองลูกหลาน ผู้จงรักภักดี ผู้เคารพเทิดทูนพระองค์ เชื่อว่าพระองค์คอยให้ความคุ้มครองภยันตราย คอยสดับตรับฟังทุกข์ร้อนของบรรดาลูกๆ คอยช่วยเหลือและดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาอยู่เป็นนิจ อนุสรณ์สถานที่ปรากฏอยู่อย่างมากมาย ตลอดจนพระนามที่ปรากฏเป็นชื่อของสถานที่ต่างๆล้วนเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี ยิ่งในช่วงเวลานี้ มีผู้คนต่างพากันไปกราบสักการะพระองค์ท่านหนาตา นอกจากบนบานหรือขอพรต่างๆแล้ว พรข้อหนึ่งที่ผู้คนพร้อมใจกันวอนขอ คือ ขอพระบารมีของพระองค์ได้โปรดคุ้มครองในหลวง

 

 

ที่มา : มูลนิธิราชสกุลอาภากร