www.tnews.co.th

"หลวงปู่มั่นกับนาคราช"

 

" .. เมื่อครั้งอยู่เชียงใหม่ ท่านพระอาจารย์(หลวงปู่มั่นฯ) จำพรรษาอยู่บนเขากับชาวมูเซอ มีพระมหาทองสุกเป็นเพื่อน ใกล้ที่พักเป็นลำธาร มีน้ำไหลตลอดทั้งปี อาศัยน้ำนั้นใช้อุปโภคบริโภค

 

มีนาคราชตนหนึ่งชื่อว่า "สุวรรณนาคราช" อาศัยอยู่ลำธารนั้น พร้อมด้วยบริวาร "นาคราชตนนี้เคยเป็นน้องชายท่านพระอาจารย์มั่นหลายภพหลายชาติ" ด้วยความสับสนแห่งภพจึงมาเกิดเป็นนาคราช เขารักเคารพและให้การอารักขาเป็นอย่างดี เวลาเดินจรงกรมจะมาอารักขาตลอด จนกว่าจะเลิกเดิน

 

หลายวันต่อมา นาคนั้นหายไป เกิดฝนไม่ตกร้อนอบอ้าว ข้าวไร่เริ่มขาดน้ำไม่งอกงาม เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นประมาณ ๑๕ -๑๖ วัน จึงได้เห็นหน้านาคนั้น

- ท่านพระอาจารย์ถามว่า "หายไปไหน"

- นาคราชตอบ "ไปขัดตาทัพอยู่ปากทาง(ลำธาร) ลงสู่แม่น้ำปิง"

- ท่านพระอาจารย์ "ทำไม"

- นาคราช "มีนาคอันธพาลตนหนึ่ง อาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้ามา เลยไม่มีโอกาสแต่งฝน มัวแต่ไปขัดตาทัพอยู่"

- ท่านพระอาจารย์ "ให้เขาเข้ามาเป็นไร เพราะเป็นนาคเหมือนกัน"

- นาคราช "ไม่ได้ เข้ามาแล้ว มารังแกข่มเหงเบียดเบียนบริวาร"

- ท่านพระอาจารย์ "เป็นไปได้หรือ"

- นาคราช "ก็เหมือนมนุษย์และสัตว์ทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ พวกอันธพาลก็มักจะล้ำแดนของกันและกัน เราต้องต่อสู้ป้องกันตัว"

- ท่านพระอาจารย์จึงรู้ว่า อันนี้เป็นลักษณะของสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นตัวเหตุ โลกจึงวุ่นวาย

ช่วงเย็นฝนตกอย่างหนักจนถึงสว่าง น้ำในลำธารเต็มไปหมด ข้ามไปบิณฑบาตไม่ได้ พระมหาทองสุกคิดได้ จึงเอาไม้ไผ่มาปักเรียงกัน เอาเถาวัลย์ที่ชาวบ้านนำมาทำกุฏิ มาผูกกับต้นไม้ฝั่งนี้ จับปลายข้างหนึ่ง ลอยตัวข้ามไปผูกไว้กับอีกฝั่งโน้น แล้วกลับมานำบริขารของพระอาจารย์และตนข้ามไปฝั่งโน้น แล้วกลับมาพาท่านพระอาจารย์ประคองไปตามราวไม้ไผ่ ข้ามฝั่งทั้งขาไปและขากลับ

 

แปลกแต่จริง ขาไปผูกเถาวัลย์ ท่านมหาจับไปตามราวและขากลับลอยคอไป พอตอนนำพระอาจารย์ไปและกลับ ปรากฏว่า "เหมือนเดินเหยียบไปบนแผ่นหิน มีน้ำปรากฏแค่เข่าเท่านั้น"

 

ท่านมหาสุกเล่าว่า "เราไมได้คิดอะไรมาก คิดแต่ความปลอดภัยเท่านั้น"

 

ตกตอนเย็น เมื่อเห็นนาคราชมาอารักขา

- ท่านพระอาจารย์ถามว่า "ทำไมให้ฝนตกมากนัก"

- นาคราชว่า "ห้ามเขาไม่ฟัง เพราะละเลยมานาน"

- ท่านพระอาจารย์ "ทำให้เราลำบาก"

- นาคราช "ท่านก็เดินบนหลังข้าพเจ้าไปสบายอยู่นี่"

- ท่านพระอาจารย์ก็บอกว่า "เราไม่ว่าพวกท่านดอก บ่นไปเฉย ๆ อย่างนั้นล่ะ"

..

 

"รำลึกวันวาน"

หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ