รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ๙ มิย ๒๔๘๙ วันแรกของการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางน้ำตาและความสูญเสียอันเกินที่บุคคลธรรมจะทานทนรับได้

รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ๙ มิย ๒๔๘๙ วันแรกของการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางน้ำตาและความสูญเสียอันเกินที่บุคคลธรรมจะทานทนรับได้

เมื่อวันนี้ในอดีต วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ หลังพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงต้องพระแสงปืนเสด็จสวรรคตในวันที่ ๙มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๙.๓๐ น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน เวลาต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าเป็น อุบัติเหตุโดยพระองค์[2] รัฐบาลประกาศให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์

ติดตามข่าวเพิ่มเติมที่ :๕มิถุนายนของทุกปี  วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เพราะเนื่องจากล้นเกล้ารัชกาลที่ ๘ และ ๙ ทรงหว่านข้าวในแปลงนาที่ ม.เกษตร บางเขนเมื่อ ๗๐ปีที่ผ่านมา

คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม (ต้อย)  กรรมการผู้อำนวยการ บริษัททีนิวส์ทีวีได้เคยให้สัมภาษณ์ว้ในรายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ใจความตอนหนึ่งว่า "เราจะยิ่งรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ท่านมากยิ่งขึ้น เราจะมี ๒ วัน เวลาระลึกถึงการครองราชย์ของพระองค์วันแรก คือในวันที่ ๙ มิถุนายน ซึ่งเป็นวันขึ้นครองราชย์ กับวันที่ ๕ พฤษภาคม วันฉัตรมงคล ซึ่งเป็นวันที่ทำพิธีราชาภิเษก มี ๒ วันก็เพราะว่า เราจะต้องรู้และเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ถ้าเลือกได้พระองค์ท่านไม่ขอเป็นพระมหากษัตริย์แน่นอน ถ้าเลือกได้พระองค์ไม่อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแน่นอน นี่พวกเราจะต้องตระหนักและเข้าใจก่อน"
เพราะว่าพระองค์ท่านเป็นพระเจ้าน้องยาเธอของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ ๘ การขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ท่าน เพราะต้องสูญเสียพระเชษฐาไป อย่างมิอาจหวนคืนกลับได้ด้วยคนใจโฉดที่รอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๘  เห็นไหมครับไม่ต้องเราท่านหรอกครับ ผมถามเหมือนถาม ให้พี่ชายเป็นอะไรไปเพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ เพื่อจะได้ยกมรดกให้เราเอาไหม 

ติดตามข่าวเพิ่มเติมที่ :ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ!! ๘ มิถุนายน ในหลวง ร.๙ มีบรมราชโอการโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระปรมาภิไธย รัชกาลที่ ๘ #วันนี้ในอดีต (ชมคลิป) !!

 ไม่มีใครเลือกทางเช่นนี้ เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยความไม่เต็มใจ และอยู่ในภาวะโศกเศร้าทุกข์ระทมใจอย่างที่สุด เพราะว่าพี่น้องซึ่งมีกันอยู่ ๓ คน ซึ่งมีพี่ชาย-น้องชาย ๒ คน รักกันผูกพันกันจนเกินกว่าใครจะเข้าใจ เพราะว่าทั้ง ๓ พระองค์คือ สมเด็จพระพี่นาง พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และในหลวงรัชกาลปัจจุบัน เป็นลูกกำพร้าพ่อ ขาดพ่อตั้งแต่พระองค์ท่านมีพระชนมายุเพียง ๒ พรรษา เท่านั้น สมเด็จพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ นึกออกไหมครับ ลูกกำพร้า๓ คน ที่มีแม่เลี้ยงดูมาเพียงคนเดียวคือสมเด็จย่า และไม่ใช่เป็นลูกกำพร้าปกติอีก เนื่องจากว่าอยู่ในลำดับสืบสันตติวงศ์ต่อจากรัชกาลที่ ๗ จึงถูกการเมืองคุกคามจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถ้าเรารับทราบข่าวสารกันมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ พระพี่นาง และสมเด็จย่า ไปประทับอยู่ที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสำคัญไปกว่านั้นตอนพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ สละราชสมบัติ ในแง่ลำดับการสืบสันตติวงศ์จะต้องเป็นพระราชบิดร กรมหลวงสงขลา แต่เนื่องจากว่าพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ลำดับการสืบสันตติวงศ์จึงตกอยู่ที่รัชกาลที่ ๘ ซึ่งยังเป็นเด็กด้วยนะครับตอนนั้น ไม่ถึง ๑๐ ขวบเลยครับ สมเด็จย่าก็ไม่อยากให้ลูกเป็นพระมหากษัตริย์ แต่รัฐสภาเลือก รัฐบาลในขณะนั้นเลือก เขาบอกว่าอยู่ในลำดับสืบสันตติวงศ์รัชกาลที่ ๘ จึงขึ้นครองราชย์ ถ้ามีถ้อยคำที่บอกว่า ท่านเป็นกษัตริย์และเป็นยุวกษัตริย์ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นหรอก เพราะกลัวพระยาพหลพลพยุหเสนาดุ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในสมัยนั้น สมเด็จย่าได้ทำจดหมายตอบโต้กับพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นย่าของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ สมเด็จย่าพระราชมารดา หลักฐานปรากฏชัดไม่อยากให้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เป็นพระมหากษัตริย์ แล้วเป็นอย่างไรครับ เมื่อสมเด็จย่าให้ลูกของท่านมาเป็นพระมหากษัตริย์จำยอมสิ่งที่สมเด็จย่ากังวลใจมาโดยตลอดก็เกิดขึ้นจริง นั่นก็คือลูกชายคนโตถูกลอบปลงพระชนม์จนเสียชีวิต ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมืองแล้วจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร ดังนั้น การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะแผ่นดินว่างเว้นกษัตริย์ไม่ได้ รัชกาล ๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ก็ขึ้นครองราชย์วันที่ ๙ คิดดูสิครับจิตใจเราท่านทั้งหลาย ลองเอานี่มาย้อนนึกถึงจิตใจของเรา และในเวลานั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ มีอายุเพียง ๑๙ พรรษา ยังไม่ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย จึงทำให้ทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกไม่ได้ต้องเลื่อนมา หลังจากที่ขึ้นครองราชย์เพียง ๒ เดือน ก็เสด็จกลับไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็มีถ้อยคำอันหนึ่งที่เราจะต้องจารึกและตราตรึงอยู่ในจิตใจของเราทุกคน ตอนนั้นพระองค์ท่านก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มอายุ ๑๙ ปี แต่เราดูความรู้สึกของคนที่เข้ามาแบกภาระเพื่อแผ่นดิน เพื่อคนไทยทั้ง ๗๐ ล้านคน อายุ ๑๙ ปี กลับไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนมารอส่งเฝ้ารับเสด็จอย่างล้นหลาม นี่เป็นบันทึกของพระองค์ท่านเอง ซึ่งบันทึกว่าระหว่างรถวิ่งผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมใกล้รถพระองค์ท่านกลัวล้อรถจะไปเหยียบเท้าของประชาชนและเมื่อไปถึงวัดเบญจฯ รถกำลังจะเร็วแล้วเพราะต้องไปขึ้นเรือในสมัยนั้น มีประชาชนตะโกนว่า "ในหลวงอย่าละทิ้งประชาชน" ผมพูดเรื่องนี้น้ำตาผมจะไหลทุกครั้ง พระองค์ท่านก็เขียนในบันทึกว่า รถไปเร็วและคล้าย ๆ ตอบไม่ทันแล้วแต่ในใจที่รู้สึกตอบขึ้นมาว่า "ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร" จริง ๆ ครับพูดทุกครั้งน้ำตาก็จะไหลทุกครั้ง แล้วเราลองย้อนทบทวนกลับมาดูสิครับ
ที่มา : สารานุกรมวิกิพีเดีย และ รายการ "สถาพรถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ" ประจำวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ 

ติดตามข่าวเพิ่มเติมที่ :ลางบอกเหตุ!! ก่อนพระเจ้าอยู่หัว ร.๘ สวรรคต “พระปิ่นเกล้าฯเสด็จเข้าฝันแจ้งเหตุร้าย“พระเจ้าอยู่หัวอนันฯจะถูกปองร้าย” แต่ไม่มีใครเชื่อ (ชมคลิป)
ข่าวโดย :  กิตติ จิตรพรหม ทีนิวส์  / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์