ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

รับพระอาทิตย์ทรงกลด..เผยคาถาบูชาพระอาทิตย์! "คาถาโมรปริตร" คาถายูงทอง พุทธคุณแคล้วคลาด ที่"หลวงปู่มั่น" แนะนำให้สวดทุกเช้าค่ำ จักพ้นอันตราย!

รับพระอาทิตย์ทรงกลด..เผยคาถาบูชาพระอาทิตย์! "คาถาโมรปริตร" คาถายูงทอง พุทธคุณแคล้วคลาด ที่"หลวงปู่มั่น" แนะนำให้สวดทุกเช้าค่ำ จักพ้นอันตราย!

 

"    พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก กำลังอุทัยขึ้นมาทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี....”

 

         นี่กล่าวไปข้างต้นนี้คือความหมายในช่วงต้นของบทสวดมนต์ “โมรปริตร” หรือที่ทราบกันในชื่อ “คาถายูงทอง” คาถาดังกล่าวนี้ มีเนื้อความบูชาถึงดวงพระอาทิตย์ที่ส่องแสงมายังพื้นโลก และนอกเหนือจากไว้บูชา “พระอาทิตย์” โดยตรงแล้ว แต่ยังหมายถึง การบูชา “พระธรรม” และ “พระอรหันต์” ผู้เผยแพร่พระธรรม ที่ขจายแสงแห่งธรรมมาขจัดความมืดบอดหลงมัวเมาในอวิชชา ซึ่งเปรียบได้ดังดวงอาทิตย์ ที่มอบแสงสว่างที่ขจัดความมืดออกไปสิ้นจากโลกใบนี้

รับพระอาทิตย์ทรงกลด..เผยคาถาบูชาพระอาทิตย์! "คาถาโมรปริตร" คาถายูงทอง พุทธคุณแคล้วคลาด ที่"หลวงปู่มั่น" แนะนำให้สวดทุกเช้าค่ำ จักพ้นอันตราย!

 พระคาถาพญานกยูงทอง เป็นพระคาถาที่พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นนิยมใช้ โดยเฉพาะผูกเป็นยันต์ในเหรียญที่ทำแจกของพระคณาจารย์สายนี้ เป็นต้นว่าพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านได้ใช้หัวใจคาถาพญานกยูงทองมาจารึกไว้ที่ด้านหลังวัตถุมงคลของท่านแทบ ทุกรุ่น ทั้งนี้เพราะท่านถือว่า คาถาพญานกยูงทองมาจากบทสวดมนต์ที่เรียกว่า "โมรปริตร" อันมีอยู่ในบทสวดมนต์ 7 ตำนานอันเก่าแก่และเป็นหลักในการเจริญพระพุทธมนต์ตลอดมา

 

พระคาถาหัวใจพญานกยูงทองมีอยู่ว่า "นะโมวิมุติตานัง นะโมวิมุตติยา"

 

พระคาถาโมรปริตร

 

บทสวดในตอนเช้า...

 

[ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า นกยูงโพธิสัตว์จะกล่าวคำนมัสการว่า ...]

 

อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส

(พระอาทิตย์นี้ อุทัยขึ้นมา เป็นผู้ให้ดวงตาแก่โลกเป็นเจ้าใหญ่ในการให้แสงสว่าง สาดแสงสีทองส่องปฐพี)

 

ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง

(เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ ผู้สาดแสงสีทองส่องปฐพีนั้น)

 

ตะยัชชะ คัตตา วิหะเร มุ ทิวะสัง

(ข้าพเจ้า อันท่านคุ้มครองแล้วพึงอยู่เป็นสุขตลอดเวลากลางวันนี้)

 

[ เมื่อนกยูงโพธิสัตว์กล่าวคาถาแรกไหว้พระอาทิตย์ที่ขึ้นในยามเช้าแล้ว จึงกล่าวคาถาบทที่2 นมัสการพระพุทธเจ้าในอดีต และพุทธคุณของพระองค์ดังนี้ ]

 

"เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม"

(ท่านผู้ไม่มีบาป คืออดีตพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้รู้จบในธรรมทังปวง)

 

"เต เม นะโม"

(ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น จงได้รับความนอบน้อมของข้าพเจ้า)

 

"เต จะมัง ปาละยันตุ"

(ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด)

 

"นะมัตกุ พุทธานัง"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย)

 

"นะมัตกุ โพธิยา"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจาจงมีแด่พระโพธิญาณ)

 

"นะโม วิมุตตานัง"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยการหลุดพ้นแล้วทั้งหลาย)

 

"นะโม วิมุตติยา"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่วิมุตติธรรม คือธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นทั้งหลาย)

 

"อิมังโส ปะริตตัง กัตตะวา โมโร จะระติ เอสะนา"

(นกยูงโพธิสัตว์นั้น เมื่อสวดพระโมรปริตรนี้แล้ว ก็ไปเที่ยวเสาะแสวงหาอาหาร)

.

บทสวดในตอนค่ำ

 

"อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะ วัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส"

( พระอาทิตย์นี้เป็นผู้ให้ดวงตาแก่โลก เป็นเจ้าใหญ่ในการให้แสงสว่าง สาดแสงสีทองส่องปฐพี กำลังอัสดง )

 

"ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุรัตติง"

( เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ผู้สาดแสงสีทองส่องปฐพีนั้น ข้าพเจ้าอันท่านคุ้มครองแล้ว พึงอยู่เป็นสุขตลอดเวลากลางคืนวันนี้ )

 

[ นกยูงกล่าวคาถาแรกไหว้พระอาทิตย์อัสดง จึงกล่าวคาถาที่ 2 นมัสการอดีตพุทธะและพุทธคุณ เช่นเดียวกับตอนเช้าดังต่อไปนี้ ]

 

"เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม"

(ท่านผู้ไม่มีบาป คืออดีตพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้รู้จบในธรรมทังปวง)

 

"เต เม นะโม"

(ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น จงได้รับความนอบน้อมของข้าพเจ้า)

 

"เต จะมัง ปาละยันตุ"

(ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น โปรดรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด)

 

"นะมัตกุ พุทธานัง"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย)

 

"นะมัตกุ โพธิยา"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจาจงมีแด่พระโพธิญาณ)

 

"นะโมวิมุตตานัง"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยการหลุดพ้นแล้วทั้งหลาย)

 

"นะโม วิมุตติยา"

(ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่วิมุตติธรรม คือธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นทั้งหลาย)

 

"อิมังโส ปะริตตัง กัตตะวา โมโร วาสะมะ กัปปะยีติ"

(นกยูงโพธิสัตว์นั้น เมื่อสวดพระโมรปริตรนี้แล้ว จึงพักผ่อนหลับนอน)

 

การสวดพระโมรปริตรนี้นั้น เมื่อคื่นนอนชำระล้างร่างกายแล้ว ก่อนออกจากบ้านสวดพระคาถาโมรปริตรท่อนเช้าหนึ่งจบ

 

ครั้นเมื่อเย็นกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำชำระร่างกายกินอาหารแล้วจึงสวดโมรปริตรท่อนค่ำอีกหนึ่งจบจึงเข้านอน

 

 

 

 

โดยเล่ากันว่าหากผู้ใดได้เจริญโมรปริตรทุกเช้าค่ำจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงอันเกิดจากขาวก หนามเครื่องดักทั้งหลาย และสรรพอันตรายอันรออยู่เบื้องหน้า

ดังตำนานต่อไปนี้

รับพระอาทิตย์ทรงกลด..เผยคาถาบูชาพระอาทิตย์! "คาถาโมรปริตร" คาถายูงทอง พุทธคุณแคล้วคลาด ที่"หลวงปู่มั่น" แนะนำให้สวดทุกเช้าค่ำ จักพ้นอันตราย!

ตำนานพระปริตร : โมรปริตร

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดนกยูง ในเวลาเป็นฟอง มีกระเปาะฟองคล้ายสีดอกกรรณิการ์ตูม ครั้นเจาะกระเปาะฟองออกมาแล้ว มีสีดุจทองคำ น่าดู น่าเลื่อมใส มีสายแดงพาดในระหว่างปีก.

 

นกยูงนั้นคอยระวังชีวิตของตน อาศัยอยู่ ณ พื้นที่เขาทัณฑกหิรัญแห่งหนึ่ง ใกล้แนวเขาที่สี่เลยแนวเขาที่สามไป. ตอนสว่าง นกยูงทองจับอยู่บนยอดเขา มองดูพระอาทิตย์กำลังขึ้น เมื่อจะผูกมนต์อันประเสริฐ เพื่อรักษาป้องกันตัว ณ ภูมิภาคที่หาอาหาร จึงกล่าวคาถา (แสดงความนอบน้อมต่อดวงอาทิตย์) ครั้นนอบน้อมพระอาทิตย์ด้วยคาถานี้ อย่างนี้แล้ว จึงนมัสการพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานไปแล้วในอดีต และพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยคาถาที่สอง (ดังที่ปรากฎในโมรชาดก) นกยูงนั้น ครั้นเจริญพระปริตร คือการป้องกันนี้แล้ว จึงพักอยู่ ณ ที่อยู่นั้น. ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรนี้ นกยูงมิได้มีความกลัว ความสยดสยอง ตลอดคืนตลอดวัน

 

ลำดับนั้น พรานชาวบ้านเนสาทคนหนึ่ง อยู่ไม่ไกลกรุงพาราณสีท่องเที่ยวไปในหิมวันตประเทศ เห็นนกยูงโพธิสัตว์จับอยู่บนยอดเขาทัณฑกหิรัญ จึงกลับมาบอกลูก

 

อยู่มาวันหนึ่ง พระนางเขมาพระเทวีของพระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงสุบินเห็นนกยูงสีทองแสดงธรรม ขณะตื่นพระบรรทมได้กราบทูลสุบินแด่พระราชาว่า ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันประสงค์จะฟังธรรมของนกยูงสีทอง เพคะ พระราชาจึงมีพระดำรัสถามพวกอำมาตย์ พวกอำมาตย์กราบทูลว่า พวกพราหมณ์คงจะทราบ พ่ะย่ะค่ะ

 

พราหมณ์ทั้งหลายสดับพระราชปุจฉาแล้ว จึงพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ นกยูงสีทองมีอยู่แน่ พระเจ้าข้า

 

พระราชาตรัสถามว่า มีอยู่ที่ไหนเล่า. จึงกราบทูลว่า พวกพรานจักทราบ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้ประชุมพวกพราน แล้วตรัสถาม

 

ครั้นแล้วบุตรพรานคนนั้นก็กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราช นกยูงสีทองมีอยู่จริง อาศัยอยู่ ณ ทัณฑกบรรพต พระเจ้าข้า

 

พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปจับนกยูงนั้นมา อย่าให้ตาย.

 

พรานจึงเอาบ่วงไปดักไว้ที่ ณ ที่นกยูงหาอาหาร. แม้ในสถานที่ที่นกยูงเหยียบ บ่วงก็หาได้กล้ำกรายเข้าไปไม่. พรานไม่สามารถจับนกยูงได้ ท่องเที่ยวอยู่ถึงเจ็ดปี ได้ถึงแก่กรรมลง ณ ที่นั้นเอง.

 

แม้พระนางเขมาราชเทวี เมื่อไม่ได้สมพระประสงค์ก็สิ้นพระชนม์. พระราชาทรงกริ้วว่า พระเทวีได้สิ้นพระชนม์ลงเพราะอาศัยนกยูง จึงให้จารึกอักษรไว้ในแผ่นทอง ว่า

 

ในหิมวันตประเทศ มีภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อทัณฑกบรรพต นกยูงสีทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ผู้ได้กินเนื้อของมัน ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย จะมีอายุยืน แล้วเก็บแผ่นทองไว้ในหีบทอง.

 

ครั้นพระราชาสวรรคตแล้ว พระราชาองค์อื่นครองราชสมบัติ ทรงอ่านข้อความในสุพรรณบัฎ มีพระประสงค์จะไม่แก่ไม่ตาย จึงทรงส่งพรานคนอื่นไปให้เที่ยวแสวงหา.

 

แม้พรานนั้นไปถึงที่นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะจับพระโพธิสัตว์ได้ ได้ตายไปในที่นั้นเอง. โดยทำนองนี้ พระราชาสวรรคตไปหกชั่วพระองค์.

 

ครั้นถึงองค์ที่เจ็ดครองราชมบัติ จึงทรงส่งพรานคนหนึ่งไป. พรานนั้นไปถึงแล้ว ก็รู้ถึงภาวะที่บ่วงมิได้กล้ำกราย แม้ในที่ที่นกยูงโพธิสัตว์เหยียบ และการที่นกยูงโพธิสัตว์เจริญพระปริตรป้องกันตนก่อนแล้ว จึงบินไปหาอาหาร จึงขึ้นไปยังปัจจันตชนบท. จับนางนกยูงได้ตัวหนึ่ง ฝึกให้รู้จักฟ้อนด้วยเสียงปรบมือ และให้รู้จักขันด้วยเสียงดีดนิ้ว.

 

ครั้นฝึกนางนกยูงจนชำนาญดีแล้ว จึงพามันไป. เมื่อนกยูงทองยังไม่เจริญพระปริตร ปักโคนบ่วงดักไว้ในเวลาเช้า ทำสัญญาณให้นางนกยูงขัน. นกยูงทองได้ยินเสียงมาตุคาม ซึ่งเป็นข้าศึกแล้ว. ก็เร่าร้อนด้วยกิเลส ไม่อาจเจริญพระปริตรได้ จึงบินโผไปติดบ่วง. พรานจึงจับนกยูงทองไปถวาย พระเจ้าพาราณสี. พระราชาทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของนกยูงทอง ก็ทรงพอพระทัยพระราชทานที่ให้จับ.

 

นกยูงทองโพธิสัตว์จับอยู่เหนือคอนที่เขาจัดแต่งให้ จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช เพราะเหตุไร จึงมีรับสั่งให้จับข้าพเจ้า.

 

พระราชาตรัสว่า ข่าวว่า ผู้ใดกินเนื้อเจ้า ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย. ข้าพเจ้าต้องการกินเนื้อเจ้า จะได้ไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงให้จับเจ้ามา.

 

นกยูงทองทูลว่า ข้าแต่มหาราช คนทั้งหลายกินเนื้อข้าพเจ้าจะไม่แก่ไม่ตาย ก็ช่างเถิด แต่ข้าพเจ้าจักตายหรือ.

 

รับสั่งว่า จริง เจ้าต้องตาย.

 

กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อข้าพเจ้าต้องตาย ผู้ที่กินเนื้อข้าพเจ้าแล้ว ทำอย่างไรจึงไม่ตายเล่า.

 

รับสั่งว่า เจ้ามีตัวเป็นสีทอง เพราะฉะนั้น มีข่าวว่า ผู้ที่กินเนื้อเจ้าแล้ว จักไม่แก่ไม่ตาย.

 

กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพเจ้ามีสีทอง เพราะไม่มีเหตุหามิได้. เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ในนครนี้แหละ ทั้งตนเองก็รักษาศีลห้า แม้ชนทั้งหลายทั่วจักรวาฬก็ให้รักษาศีล ข้าพเจ้าสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ ดำรงอยู่ในภพนั้นจนตลอดอายุ จุติจากนั้นแล้ว จึงมาเกิดในกำเนิดนกยูง เพราะผลแห่งอกุศลกรรมอื่น. อีกอย่างหนึ่ง แต่ตัวมีสีทอง ก็ด้วยอานุภาพศีลห้าที่รักษาอยู่ก่อน.

 

รับสั่งถามว่า เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นเจ้าจักรพรรดิ์รักษาศีลห้า ตัวมีสีเป็นทอง เพราะผลของศีล. ข้อนี้ ข้าพเจ้าจะเชื่อได้อย่างไร มีใครเป็นพยาน.

 

กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มี.

 

รับสั่งถามว่า ใครเล่า.

 

กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งเป็นเจ้าจักรพรรดิ์ ข้าพเจ้านั่งรถสำเร็จด้วยแก้วเจ็ดประการ เที่ยวไปในอากาศ รถของข้าพเจ้านั้นจมอยู่ ภายใต้ภาคพื้นสระมงคลโบกขรณี โปรดให้ยกรถนั้นขึ้นจากสระมงคลโบกขรณีเถิด รถนั้นจักเป็นพยานของข้าพเจ้า.

 

พระราชารับสั่งว่า ดีละ แล้วให้วิดน้ำออกจากสระโบกขรณี ยกรถขึ้นได้ จึงทรงเชื่อคำของพระโพธิสัตว์.

 

พระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมที่ปรุงแต่งทั้งหมด ที่เหลือนอกจาก พระอมตมหานิพพานแล้ว ชื่อว่าไม่เที่ยง มีความสิ้นและความเสื่อมเป็นธรรมดา เพราะมีแล้วกลับไม่มี ดังนี้ แล้วให้พระราชาดำรงอยู่ในศีลห้า.

 

พระราชาทรงเลื่อมใส บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ ได้ทรงกระทำสักการะเป็นอันมาก.

 

นกยูงทองถวายราชสมบัติคืนแด่พระราชา พักอยู่ 2 - 3 วัน จึงถวายโอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงไม่ประมาทเถิด แล้วบินขึ้นอากาศไปยังภูเขาทัณฑกหิรัญ.

 

ฝ่ายพระราชาดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม

 

หลังจากทรงแสดงเรื่องราวในอดีตแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเฉลยว่า พระราชาในครั้งนั้น คือพระอานนท์ ส่วนนกยูงนั้นคือพระมหาบุรุษเอง

ถึงแม้พญายูงทอง จะหลงไปบ้าง แต่ด้วยการเจริญสติผ่านการสวดมนต์ดังกล่าวเสมอ นั่นส่งผลให้ พญายูงทองรอดพ้นจากภัยลงได้

ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "ผู้ใดได้เจริญโมรปริตรทุกค่ำเช้าแล้วจะนิรันตราย ไม่ตายโหงด้วยอาการอันทุเรศต่างๆ ถึงซึ่งความสุขความเจริญทั้งปวง"

 

 

จากบันทึกหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ อดีตพระอุปัฎฐากหลวงปู่มั่น ได้บันทึกไว้ในหนังสือ บูรพาจารย์เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ไว้ว่า คราวหนึ่งหลวงปู่มั่นพักอยู่ที่ดอยมูเซอ วันหนึ่งพระสยามเทวาธิราชพร้อมคณะเทพบริวารไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่นซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่ พอรายงานตัวเสร็จหลวงปู่มั่นได้ถามวัตถุประสงค์ของการมากราบครั้งนี้ พระสยามเทวาธิราชบอกว่า "เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิดกรุงเทพฯ อย่างหนักหน่วง พวกข้าพเจ้าป้องกันเต็มที่"

หลวงปู่มั่นถามว่า "มีคนบาดเจ็บล้มตายไหม" พระสยามเทวาธิราชตอบว่า "มี" ท่านถามว่า "ทำไมไม่ช่วย" พระสยามเทวาธิราชตอบว่า "ช่วยไม่ได้ เพราะเขามีกรรมเวรกับข้าศึก จะช่วยได้เฉพาะผู้ไม่มีกรรม สถานที่สำคัญและพระพุทธศาสนาเท่านั้น"

หลวงปู่มั่นถามต่อว่า "พวกท่านมานี้ประสงค์อะไร" พระสยามเทวาธิราชกราบเรียนว่า "ขอให้ท่านบอกคาถาปัดเป่าลูกระเบิดไม่ให้ตกถูกที่สำคัญ" หลวงปู่มั่นจึงกำหนดพิจารณาหน่อยหนึ่ง ก็ได้ความว่า "นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" เท่านั้น พวกเทพสาธุการแล้วลากลับไป ไม่เห็นกลับมาอีก

"นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" จึงเป็นสุดยอดพระคาถาแคล้วคลาดจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถ้าบริกรรมทุกเช้าค่ำแล้ว จะปลอดภัยจากภยันตรายต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง

 

ที่มา : http://palungjit.org / สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา ๓๕ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  / wikipedia.org