ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ www.tnews.co.th

“..พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ท่านเป็นคนบางนมโค มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่ง สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส รูปร่างลักษณะของหลวงพ่อปานสมส่วนทุกอย่าง ผิวขาวนวล เสียงท่านเพราะมาก เมื่อท่านโตขึ้นมา ท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน เคยขอให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วกราบขออภัยท่าน ขอเอาเชือกวัดรอบศีรษะ วัดหน้าตัก วัดจากตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่างกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย เมื่ออายุท่านใกล้ถึงเกณฑ์บวช ท่านพ่อท่านแม่บอกจะขอลูกสาวคนรวยให้แต่งงานกับท่าน หลังจากบวชแล้ว ท่านบอกว่า “เรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน เพราะบวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง”

น้อมด้วยเกล้า สาธุ.. วันละสังขาร "หลวงพ่อปาน" พระสงฆ์สองร้อยรูปร่วมสวดอิติปิโส เหล่าเทวดา พรหม ส่งถึงสวรรค์ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกไว้.

พออายุท่านครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ย่าง ๒๑ ปี ท่านพ่อก็พาท่านถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากหลวงปู่สุ่นเพื่อบวชที่วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อไปถึงวัด หลวงปู่สุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเรียก หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบท่านก็เอามือลูบศีรษะบอกว่า “อยู่กับพ่อจะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นลูกของพ่อ วิชาความรู้จะถ่ายทอดให้ทั้งหมด และจะไม่สึก” ทำให้ท่านพ่อและหลวงพ่อปานปลื้มใจมาก เพราะเวลานั้นหลวงปู่สุ่น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่างนี้แม่ท่านจะบาป ท่านก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนามว่า “สุวรรณสาม”สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี

น้อมด้วยเกล้า สาธุ.. วันละสังขาร "หลวงพ่อปาน" พระสงฆ์สองร้อยรูปร่วมสวดอิติปิโส เหล่าเทวดา พรหม ส่งถึงสวรรค์ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกไว้.

ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ท่านป่วยมากเป็นครั้งแรก คณะศิษย์ในกรุงเทพฯรับท่านไปรักษาประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับวัด หลังจากป่วยคราวนี้แล้วท่านแจ้งให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทราบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตายในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ท่านสอนว่า ก่อนจะหลับให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ หมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ เป็นต้น

ก่อนหน้าวันตายของท่าน ๓ วัน หลวงพ่อปานได้บอกให้อาตมาจัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวงแล้วบอกว่า “วันนี้ใครจะคุยอะไรกับท่านก็คุยนะ หลังเที่ยงไปแล้วท่านจะไม่คุย พรุ่งนี้ท่านถึงจะตาย” ท่านนอนคุยเพราะลุกไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากแรงท่านไม่มี พอถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านบอกว่า “นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่พูดกับใครเลย” อาตมาได้ถามท่านว่า “ท่านจะสั่งอะไรบรรดาศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่านแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา” หลวงพ่อปานว่า “ให้สั่งพระกับชาวบ้านทั้งหมด ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย ๒ อย่าลักขโมย คืออย่าประพฤติตนเป็นโจร”

จากนั้นหลังจากเที่ยงไปแล้วท่านก็เงียบ พอเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็น เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมองหน้าอาตมาบอกว่า “ถ้าพ่อตายละก็ ช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จด้วยนะ” อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “เวลานี้พระมานั่งกันเต็มประมาณ ๒๐๐ รูป อาตมาต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้าง” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าพระจะสงเคราะห์ ให้ท่านสวดอิติปิโส และจุดธูปหอมๆ ให้ได้กลิ่นด้วย” พอ พระสวดอิติปิโส ไปได้สักพักหนึ่ง เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมงเย็น ท่านลืมตาขึ้นบอกกับอาตมาว่า “ให้บอกพระกับชาวบ้านว่าพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนมีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปพระนิพพาน” เมื่อพูดจบท่านก็หลับตา ท่านลืมตาอีกครั้งแล้วก็หลับตาปั๊บอีกที นาฬิกาเป๋งแรก ๖ โมงเย็นพอดีปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ได้ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “หลวงพ่อไปแล้วไปอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน รูปร่างท่านสวยมาก เทวดา พรหมห้อมล้อมไปส่งท่านถึงสวรรค์ชั้นดุสิต”พอบรรดาพระทราบว่าหลวงพ่อไปแล้ว ปรากฏว่าพระแก่หลายองค์เลิกสวดอิติปิโส แต่มาสวดร้องไห้แทน หลวงพ่อมรณภาพในกุฏิท่าน คนจะมาเคารพศพก็ลำบาก เพราะที่คับแคบ ต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลาโดยไม่ได้ใส่โลงศพ สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นยังไม่มี จากวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ (ตรงกับ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๘๑) จนถึง วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย มีอาการเหมือนคนนอนหลับ เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี กลิ่นเหม็นสักนิดหนึ่งก็ไม่มี..” 

น้อมด้วยเกล้า สาธุ.. วันละสังขาร "หลวงพ่อปาน" พระสงฆ์สองร้อยรูปร่วมสวดอิติปิโส เหล่าเทวดา พรหม ส่งถึงสวรรค์ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกไว้.

ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพและที่มาเนื้อหาข้อมูล   หนังสือ “ตายแล้วไปไหน โดย หลวงพ่อฤๅษีลิงด 

 http://www.dhammajak.net