ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

บ้านคือวิมานของเรา!! บ้านอาถรรพ์..ใครอยู่ก็ตาย เรื่องเล่าประสบการณ์จริงจากสมาชิกเว็บชื่อดัง..อ่านแล้วขนหัวลุก หลอนสติแทบแตก!!

            จากเรื่องราวสุดหลอนจาก สมาชิกพันทิปท่านหนึ่งใช้ สมาชิกหมายเลข 3062905 เป็นกระทู้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์สุดหลอนของเจ้าของกระทู้ โดยหัวข้อกระทู้ชื่อว่า "บ้านคือวิมารของเรา" โดยเรื่องราวสุดหลอนนี้เป็นเรื่องราวที่ชาวเน็ตให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยกระทู้ดังกล่าวมีเรื่องราวว่า 

             มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหรูหลังหนึ่งแถบชานเมือง สามีเป็นเจ้าของธุรกิจทำเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้างเขามีภรรยาและลูกสองคน ชายหญิงวัย 3 ขวบ และ 5 ขวบ ต่อมาธุรกิจรับเหมามีปัญหาเกิดปัญหาทางการเงิน ขาดสภาพคล่องทำให้สองสามีภรรยาคู่นี้ ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างหนักทุกคืน ข้างบ้านเรือนเคียงแถวนั้นมักจะได้ยินเสียงเด็กร้องให้จ้า กลางดึกเสมอเพราะการทะเลาะกันของผู้ใหญ่ไม่นาน สามีก็ไปมีภรรยาน้อย นานๆถึงจะแวะกลับมาบ้าน มาหาลูกๆบ้าง แต่ภรรยาหลวงก็ไม่เคยรู้ว่า สามีมีภรรยาน้อย เข้าใจว่า สามีมุ่งมันทำงาน เพื่อหาทางดึงธุรกิจที่ทรุดให้กลับมาดึขึ้น

             จนวันหนึ่ง ภรรยาทราบข่าวร้าย  ว่า สามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และคนที่เสียชีวิตอยู่ข้างๆคือผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งและมาทราบภายหลังจากจัดงานศพ ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือภรรยาน้อยนั้นเอง เวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อขาดเสาหลักของครอบครัว ภรรยาตัดสินใจ เอายาเบื่อหนูกรอกปากลูกทั้งสอง จนตายแล้วตัวเองก็ผูกคอยตายในบ้านหลังนั้น ธนาคารยึดบ้าน และขายทอดตลาด ไปในที่สุด

             ต่อมามีครอบครัวหนึ่งมาซื้อบ้านหลังนั้น อยู่ได้ไม่นาน ขณะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว ก็เกิดเหตุรถชนประสานงา จนทำให้คนในรถทั้งหมดเสียชีวิต ธนาคารยึดบ้าน และขายทอดตลาดอีกไม่นานก็มีผู้ครอบครองรายใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพักภรรยาของบ้านนี้ก็ตั้งท้อง เมื่อให้หมอตรวจครรภ์ ก็ทราบว่าได้ลูกแฝด ช่วงที่ท้องแก่ ภรรยาทราบว่า สามีไปมีภรรยาน้อย จึงได้ขับรถตามสามีไปแบบลับๆ แต่สามีรู้ตัว พยายามขับรถเร็วขึ้น เพื่อหนีภรรยา แต่สุดท้ายภรรยาขับรถเสียหลัก จนชนกับเสาไฟฟ้า อาการสาหัสแต่สามีไม่ทราบว่ารถภรรยาตัวเองเกิดอุบัติเหตุ เข้าใจว่าขับรถหนีภรรยามาได้แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดอะไร ด้านหน่วยกู้ภัย นำตัวภรรยาที่ตั้งครรภ์แก่ส่งโรงพยาบาล เธอแท้งลูกทั้งสองไปหลายวันต่อมาสามีติดต่อมาหาภรรยาหลวงจึงทราบว่า ภรรยาประสบอุบัติเหตุจนแท้งลูก จึงรีบกลับมาดูแลภรรยาตนที่บ้าน แต่พอมาถึงบ้านปรากฏว่า ภรรยาตัดสินใจผูกคอตายเสียแล้ว ส่วนตัวสามีเอง เมื่อเห็นสภาพแบบนั้นก็เสียใจมากจึงคว้าปืนมายิงตัวเองตายตาม

           ธนาคารยึดบ้านหลังนั้นแล้วขายทอดตลาดใหม่อีกครั้งรอนานจนกระทั้งบ้านโทรมลงไปมาก ก็ยังไม่มีผู้ซื้อรายใหม่จนกระทั้ง 5ปีผ่านไป มีผู้มาซื้อรายใหม่ เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เธอเห็นบ้านหลังนั้นโทรมมากแล้ว จึงตกแต่งบ้านใหม่เล็กน้อยแล้ว ให้คนอื่นเช่า ผู้มาเช่าบ้าน แบ่งบ้านเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำเป็นโกดัง ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกและภรรยาต่อมาผู้เช่ามีปัญหากับเจ้าของรายใหม่ จนกระทั่ง ใช้มีดแทงผู้หญิงเจ้าของรายใหม่เสียชีวิต ส่วนผู้เช่าก็หลบหนีคดีหายไป ต่อมา ลูกชายผู้ตายก็มาดูแลบ้านหลังนี้ต่อและก็ปรับปรุงบ้านใหม่ เปิดให้คนเช่าอีก มีคนมาเช่า ไม่กี่ราย แต่ละรายอยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็ย้ายออก แล้วบ้านก็ถูกทิ้งร้างอยู่นับปี 

            จนกระทั่งผมไปเจอใบปลิวที่ติดอยู่กับเสาไฟฟ้า ว่ามีบ้านให้เช่าราคาถูก ผมเลยติดต่อกับเจ้าของและนัดมาดูบ้าน ผมตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ อยู่กับแฟน สองคน เพราะว่าใกล้ที่ทำงานใหม่ของผม ผมย้ายมาอยู่บ้านเช่ากับแฟน เพียงสองคนสภาพบ้านค่อนข้างโทรม แต่แทบไม่ต้องขนอะไรมามากนัก เพราะมีเฟอร์นิเจอร์เก่าอยู่แล้ว ช่วงที่ย้ายเข้ามา ตอนนั้นราวๆ หกโมงเย็น บ้านที่เราเช่าอยู่  อยู่เกือบท้ายซอย ห่างจากป้อมยามราวๆ ร้อยเมตรน่าจะได้มีป้าแก่ๆ ยืนมองเราขนของลงจากรถ อยู่บ้านฝั่งตรงข้าม ผมหันไปยิ้มให้แก นิดหนึ่ง แต่ป้าแกก็ทำเป็นเหมือนไม่สนใจอะไร สังเกตุรอบๆข้าง มีคนเดินไปมาในซอยขวักไขว่กันพอสมควร ดูไม่เงียบเหงาดี พอขนของเข้ามาอยู่ในบ้าน ผมก็สำรวจบ้าน เดินไปดูยังห้องต่างๆชั้นล่าง มีห้องเหมือนห้องนอน 1 ห้องไม่มีห้องน้ำ และถัดจากโถงนั่งเล่นไปก็เป็นห้องน้ำและครัวและมีประตูเปิดไปหลังบ้าน แต่ประตูนั้นถูกปิดตาย ผมเดินอ้อมไปดูว่ามันเป็นห้องอะไร ปรากฏว่ามีประตูเดินเข้าไปข้างในได้อีก ดูเหมือนจะเป็น ห้องใหญ่ เหมือนใช้เก็บของอะไรสักอย่าง มองดูรอบๆ ก็ไม่มีอะไรเพราะมันเป็นห้องเปล่า ขนาดใหญ่ แต่หน้าต่างถูกปิดทึบหมด บรรยากาศตอนนั้นก็เริ่มจะมืดแล้ว ทำให้ในห้องมีแสงสลัวสลัว
อยู่ๆก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา ยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูกก็เลยรีบออกมา ที่ชั้นสอง มีโถงนั่งเล่น และมีห้องนอน ด้านหน้า 1 ห้อง และด้านหลัง ซ้ายขวาอีก 2ห้อง มีห้องน้ำอยู่กลางบ้านสภาพมีฝุ่นจับที่พื้น ดูเหมือนไม่มีใครมาอยู่นานพอสมควร

               เราเลือกห้องใหญ่ด้านหน้า เป็นห้องนอน เพราะห้องเล็กด้านหลังดูมันอึดอัดยังไงบอกไม่ถูกแฟนผมจัดแจงปัดกวาดเช็ดถูอยู่พักใหญ่  จนเหนื่อยกันทั้งคู่ สักพักดูนาฬิกา โห ..สองทุ่มกว่าแล้วยังไม่ทานข้าวกันเลย แฟนจัดเตรียมอาหารที่ซื้อมาอยู่ในครัว ผมเองก็จะออกไปเปิดไฟหน้าบ้าน พอเปิดประตูออกไปหน้าบ้าน เพื่อดูว่าไฟหน้าบ้านติดไหม ผมก็มองไปเห็น เสาไฟส่วนกลางหน้าบ้านมันติดๆดับๆ แล้วพอมองไปรอบๆ เห็นบ้านฝั่งตรงข้ามปิดไฟมืดสนิท ข้างๆบ้าน เองก็มืด ไม่มีใครเปิดไฟหน้าบ้านเลย ผมกลับเข้ามาชวนแฟนคุย  

"แปลกนะ คนแถวนี้เขากลัวเปลืองไฟหรือเปล่า ไม่ยอมเปิดไฟหน้าบ้าน ดูมืดไปหมดเลย"
แฟนผมก็พูดว่า  สงสัยคงยังไม่กลับมาจากที่ทำงานมั้ง 

เรานั่งกินข้าวอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียง กริ่งจักรยาน ดังกริ๊งๆ อยู่หน้าบ้าน 
ผมเดินไปมองผ่านหน้าต่างหน้าบ้าน เห็น รปภ ปั่นจักรยานผ่านหน้าบ้านพอดี
เลยรีบเปิดประตูไปทักทาย 

พอ รปภ. เห็นผม เขาก็ทักท้ายมาว่า  พึ่งย้ายมาหรือครับ ผมก็ตอบกลับไปว่า ใช่ครับ ผมถามเขาไปว่า แถวนี้มีร้านเซเว่นไหม แล้วตลาดอยู่ไกลไหม
รปภ. ตอบว่า ไม่มีหรอกแถวนี้ ในซอยนี้มีแต่บ้านตรงปากซอยอยู่หลังเดียวเองมั้ง นอกนั้น ก็ไม่ค่อยมีใครอยู่กัน ผมก็เกิดสงสัยทันที   อ้าวทำไมถึงไม่อยู่กันหละ
รปภ. ก็ตอบว่า ไม่รู้ซิครับ ส่วนใหญ่เขาซื้อไว้ให้คนเช่า มั่งครับ แต่ไม่ค่อยมีใครมาเช่า นานๆถึงจะเห็นเจ้าของแวะเวียนมาดูสักที  

          ผมเริ่มมองไปรอบๆบ้านอีกที ก็นึกถึงป้าแก่ๆ อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามนั้นได้ ก็เลยถาม รปภ ไปว่า

"อ้าวแล้วบ้านหลังนั้น เขาอยู่กันไหม ตอนเย็นๆผมยังเห็นมีป้าแก่ๆยืนมองผมขนของอยู่เลย"

 รปภ. ทำสีหน้าเหมือนตกใจ  มองไปตามที่ผมชี้ให้ดู 

"เอ.. บ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่นานแล้วนะครับ หรือเป็นเจ้าของเขาแวะมาดู ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ผมขอตัวก่อนนะ"  แล้ว รปภ. ก็รีบปั่นจักรยาน หายไปอย่างรวดเร็ว

ผมกลับมานั่งทานข้าวต่อกับแฟน 
แฟนถามว่า "คุยอะไรกัน ผมก็บอกไปว่า ไม่มีอะไร  รปภ ที่นี่ดีนะ มีมาตรวจตรา ถึงในซอยนี่ด้วย"
ผมถามแฟนว่า  "เออ.. ตอนที่เราขนของเข้าบ้านกัน เธอเห็นป้าแก่ๆข้างบ้านไหม"
แฟนผมทำท่านึกอยู่เดี๋ยวหนึ่ง ก็ พูดขึ้นว่า "อืม เห็น ทำไมหรอ"

ผมกะว่าจะบอกว่า ฝั่งตรงข้ามไม่มีใครอยู่สักหลังเลย  แต่กลัวแฟนผมจะคิดมาก ก็เลยบอกเธอไปว่า "เปล่าถามเฉยๆไม่มีอะไร"

อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากชั้นสอง เหมือนคนวิ่งกระทืบเท้าจากหน้าบ้านไปหลังบ้านอย่างเร็ว ผมตกใจมาก แฟนก็ตกใจ ถามว่าเสียงอะไร ผมรีบวิ่งขึ้นไปดูที่ชั้นสอง โดยมีแฟนตามมาติดๆ ขึ้นไปถึงตรงโถงนั่งเล่น ผมมองไปด้านหลังของบ้าน เห็นแมวดำตัวใหญ่ มองมาที่เรา ผมตกใจเล็กน้อย เพราะตาแมว มันดูตาโต น่ากลัว 

ผมพูดกับแฟนว่า "เฮ้ย.. แมวเข้ามาได้ยังไง"  พอเดินเข้าไปใกล้มัน มันก็รีบวิ่งกระโดดขึ้นไปมุด ออกตรงช่องเหนือประตูที่จะเปิดไประเบียงหลังบ้าน ผมเปิดประตูหลังบ้านไปยืนดูมันตรงระเบียง แต่ก็หาตัวไม่เจอ เพราะมันมืดมาก กลับลงมาชั้นล่าง ผมก็บอกกับแฟนว่า เดี๋ยวต้องหาอะไรมาปิดรูข้างบน แมวจะได้ไม่เข้ามาอีก
พอเก็บโต๊ะกินข้าวเสร็จ ก็พากันนั่งเล่นสักพัก ก็ขึ้นไปจัดข้าวของกันต่อที่ห้องนอน สักพักแฟนก็ขอตัวไปอาบน้ำ ปรากฏว่า ห้องน้ำชั้นบนน้ำไม่ไหล ผมก็เลยลงมาดูห้องน้ำชั้นล่าง เสียงแฟนตะโกนถามลงมาจากชั้นบน ว่า "น้ำไหลไหม"  ผมก็ตะโกนตอบกลับไปว่า "ไหล  เดี่ยวพี่อาบน้ำเลยแล้วกัน"

            หลังจากอาบน้ำเสร็จ เปิดประตูห้องน้ำออกมา ตาผมก็ดันหันไปมองประตูห้องนอนที่อยู่ตรงข้างๆบันไดพอดี มันเปิดแง้มๆออกมานิดหนึ่งแล้วก็รีบปิดเข้าไป ผมตกใจมากเสียวสันหลังวาบเลย แต่ก็ตั้งสติ ค่อยๆ เดินย่องๆ ไปที่หน้าประตู แล้วก็รีบเปิดประตูเข้าไปดูอย่างเร็ว ในห้องมืดสนิท ผมรีบเปิดไฟในห้อง ปรากฏว่า ไม่มีอะไรเลย เป็นห้องเปล่าๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ผมมองไปรอบๆ และก็คิดแล้วคิดอีกว่า ประตูมันแง้มออกมาแล้วปิดเองได้ยังไง ลองเปิดประตูแล้วก็เอามือแตะๆ ให้มันลองแง้มเอง มันก็ไม่แง้มสักที ก็ได้แต่สงสัย สุดท้ายก็เลยขึ้นไปแต่งตัวข้างบน แฟนผมเห็นผมอาบน้ำขึ้นมาจากชั้นล่าง เขาก็เลยลงไปอาบน้ำต่อจากผม

            สักพักใหญ่ ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องชั้นบน  อยู่ๆก็ได้ยินเสียงแฟนกรี๊ด ดังมาก ผมรีบวิ่งลงไปดูแฟน เห็นแฟน ยืนปิดตา ร้องโวยวายไม่เป็นภาษา
ผมเข้าไปแตะตัวแฟนเบาๆ ถามว่าเป็นอะไร ตัวเขาเกร็งไปหมด แฟนชี้ไปที่ประตูห้องนอนตรงข้างบันไดนั้น แล้วก็บอกว่า "พี่ พี่ มีคนอยู่ในห้องนั้น"
หนูเห็นมันแง้มประตูออกมาดูแล้วก็ปิดไป ผมก็พยายามจะปลอบแฟนว่า "ตาฝาดหรือเปล่า"
แฟนก็บอกว่า "ไม่ฝาด หนูเห็นตามันด้วย" ผมรีบเดินไปหยิบไม้กวาด เผื่อเอามาป้องกันตัวได้แล้วค่อยๆ เดินไปเปิดประตูห้องนั้น

             พอเปิดออกมา แล้วก็รีบเปิดไฟในห้อง ปรากฏว่า ทุกอย่าง ว่างเปล่า ไม่มีอะไร แต่แฟนก็ร้องไห้ ยืนยันว่า เห็นจริงๆ เห็นประกายตามันสะท้อนแสงออกมาจากความมืด แล้วมันก็รีบปิดประตูทันที ผมนี่ขนลุกเลย ขนาดผมไม่เจอประกายแววตา ผมยังหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแต่พอมาดูแล้วในห้องก็ไม่มีอะไร ก็เลยไม่รู้จะพูดยังไงต่อ เลยบอกแฟนไปว่า สงสัย เป็นลมมั่ง ลมมันอาจจะตีกลับ เลยทำให้ประตูมันเปิดปิดเองได้ ถ้ากลัวก็เปิดไฟในห้องนี้ทิ้งไว้ก็ได้ เราก็เลยพากันปิดไฟชั้นล่างหมด เหลือแต่ไฟในห้องนั้น ก่อนจะขึ้นไปนอนที่ชั้นสอง โดยที่แฟนผมเดินตามผมไม่ห่างตัวสั่นไปหมด

บ้านคือวิมานของเรา!! บ้านอาถรรพ์..ใครอยู่ก็ตาย เรื่องเล่าประสบการณ์จริงจากสมาชิกเว็บชื่อดัง..อ่านแล้วขนหัวลุก หลอนสติแทบแตก!!

          ตื่นเช้ามาแฟนบอกว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย  สงสัยจะต่างที่ แฟนบอกผมว่า "เราน่าจะนิมนต์พระมาทำบุญบ้านกันนะ เพราะรู้สึกไม่สบายใจเลย" จากเหตุการณ์เมื่อคืนเช้าวันนั้นผมก็เลยแวะไปหา รปภ แล้วก็ถามว่า แถวๆนี้มีวัดที่จะไป นิมนต์พระมาทำบุญบ้านได้ไหม รปภ เป็น รปภ แก่ๆ ไม่ใช่คนที่หนุ่มๆที่ผมเจอตอนเย็นเมื่อวาน แกถามว่า "มีอะไรหรือเปล่าครับถึง จะไปนิมนต์พระมา" ผมก็ตอบไปว่า  “อ๋อเปล่าครับ พอดี พึ่งย้ายมาใหม่ ก็เลยอยากนิมนต์พระมาทำบุญให้บ้านสักหน่อย” รปภ ก็บอกมาว่า มีอยู่ 3 วัด ใกล้ๆแถวนี้ ลองไป ถามดูครับ ผมก็เลยบอกแฟนไปว่า "เดี๋ยว เสาร์ อาทิตย์ ค่อยไปแวะวัดถามดูกัน"

        หลังจากแยกย้ายกันไปทำงาน วันนั้น ช่วงบ่ายๆ แฟนก็ โทรมาบอกว่า เขาชวน น้าเขากับหลานมาอยู่เป็นเพื่อนนะ “แกจะมาถึงเย็นนี่แหละ  บ้านหลังใหญ่ อยู่กันสองคน มันยังไงไม่รู้ มีคนอยู่กันเยอะๆจะได้รู้สึกดีหน่อย” ผมก็ถามว่า “อ้าวแล้วน้าไม่ทำงานหรือ“ แฟนก็บอกว่า “น้าแกเลี้ยงลูกอยู่บ้านเฉยๆ ก็เลยชวนแกมาช่วยทำความสะอาดบ้านด้วย มาเที่ยวด้วย”  ตกเย็นผมกลับบ้าน  เจอแฟนกับญาติกับหลานนั่งเล่นกันอยู่ในบ้าน พอแนะนำตัวกันเสร็จ ญาติแฟนก็อาสาจะทำอาหารให้กิน 
น้าคนนี้ฝีมือใช้ได้เลยครับ ทำกับข้าวได้กลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยมากๆ หลังจากกินข้าวกันเสร็จ แฟนผมก็ไปล้างจานอยู่ในครัว ส่วนน้าเขาก็เอาขยะไปทิ้ง ที่หน้าบ้าน
เรานั่งคุยกันอยู่สักพัก น้ากับหลานก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องนอนเล็กชั้นบน ผมก็เลยบอกน้าไปว่า ห้องน้ำชั้นบน ชักโครกกับน้ำตรงอ่างล้างมือใช้ได้นะ แต่ ตรงฝักบัว เปิดแล้วน้ำไม่ไหล ยังไงถ้าจะอาบน้ำก็ มาอาบที่ชั้นล่าง วันต่อมา ผมกลับมาจากที่ทำงานเร็ว เห็นบ้านเงียบๆ ก็สงสัยว่า น้ากับหลานไปไหนกัน แต่สักพักก็ได้ยินเสียงน้ากับหลานเล่นกันหัวเราะกันเสียงดัง ผมก็เลยนั่งเล่นอยู่ชั้นล่าง รอแฟนกลับจากที่ทำงาน แต่พอได้ยินเสียงน้าหัวเราะกับหลาน หลายๆรอบ ผมก็ได้ยินเหมือนมีเสียงเด็กอยู่ด้วยกันหลายคน  มีเสียงหัวเราะของเด็กไม่ต่ำกว่าสี่ห้าคนแน่ๆ ก็เลยส่งสัย เดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ฟังให้แน่ใจ ผมไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนเล็กที่น้ากับหลานอยู่ ได้ยินเสียงน้าหยอกล้อกับหลาน แล้วก็ได้ยินเหมือนมีเสียงเด็กคนอื่นหัวเราะอยู่ด้วย ผมก็นึกในใจ น้าเอาเด็กที่ไหนมาเล่นด้วยหรือเปล่า เลยตัดสินใจเคาะประตู 
แล้วเสียงหัวเราะก็เงียบไป น้าเปิดประตูห้องออกมา  เห็นผมแล้วน้าก็ถามว่า  “อ้าวกลับมาแล้วหรือ หิวไหมเดี่ยวน้าลงไปทำกับข้าวให้กิน  พอดีวันนี้จะทำเอาไปให้คนแถวนี้ชิมด้วย” ผมก็เลยเข้าใจว่า น้าไปรู้จักคนแถวนี้เลยพาลูกเขามาเล่นด้วยหรือเปล่า ก็เลยถามว่า “อ๋อ มีเด็กๆมาเล่นด้วยหรือครับ“ น้าทำหน้า งงๆ   “ เด็กไหน เด็กที่ไหน ไม่มีนะ  มีแต่เจ้าตัวเล็ก อยู่กะน้านี่ ตัวเดียว “ ว่าแล้ว หลานก็โผล่หน้าออกมา มองผมตาแป๋ว ผมก็เลย กลบเกลือนไป ว่า “อ๋อ ถามดูเฉยๆ ไม่มีอะไร“

              น้าลงมาทำกับข้าว สักพักแฟนผมก็กลับมาจากที่ทำงาน ตอนนั้นก็เริ่มหกโมงเย็นแล้ว แต่แสงแดดยังเปี้ยงอยู่เลย น้ายกแกงส้ม ออกมาจากในครัว แล้วก็บอกว่า “เดี๋ยวนะ เอาไปให้คนข้างบ้านชิมดูก่อน” น้าแกหายไปสักพักหนึ่ง ก็กลับเข้ามา ดูสีหน้าไม่ค่อยดี แฟนผมถามว่า “กลับมาแล้วหรือ  เพื่อนบ้านเขาว่ายังไงบ้างน้า  อร่อยไหม” ผมมองไปที่น้า เห็นแกถือถ้วยเปล่ากลับมา แกเงียบๆ พยักหน้าอย่างเดียว แล้วเดินไปในครัว จัดแจงยก กับข้าวมากินกัน น้าก็เล่าให้ฟังว่า วันนี้ทำความสะอาดรอบบ้าน เจอศาลหักตรงหลังบ้านด้วย ไม่รู้ใครเอาไปทิ้งตรงนั้น มีธูปจุดแล้ว ทิ้งเต็มไปหมดเลย สงสัยคนอยู่เก่าเขาจะไหว้กัน ยังไงเธอกับแฟนก็ลองหาศาลใหม่มาเปลี่ยนหน่อยนะ จะได้มีเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครอง

            หลังจากทานข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ตื่นเช้ามา น้าก็มาบอกว่า "จะกลับบ้านแล้วนะ มาอยู่หลายวันเกรงใจ" ผมกับแฟนก็แปลกใจ "เอ.. อยู่ๆทำไมรีบกลับ" แต่ก็ไม่ได้รั้งอะไร กลับมาจากที่ทำงาน ผมกับแฟนก็ใช้ชีวิตตามปกติ กินอาหารถุงตามเคย บ่นคิดถึงน้า ที่มาทำอาหารอร่อย อร่อยให้ทาน กันผมให้แฟนแชร์เน็ตจากมือถือแฟน เพื่อจะเล่นเน็ตกับโน๊ตบุคได้ พอต่อเน็ตได้ เราก็นั่งเล่นกันอยู่ที่ชั้นล่าง สักพัก อยู่ๆเน็ตก็ช้าลง แฟนถามว่า "พี่เข้าเน็ตได้ไหม ทำไมของหนูมันโหลดหน้าเว็ปนานจัง" ผมก็เลยบอกให้เข้าไปดูที่ตั้งค่าไวไฟซิ อยู่ๆแฟนก็ถามว่า "พี่ มือถือพี่ต่อเน็ตหนูอยู่ไหม"ผมเอาโทรศัพท์มาดู แล้วก็บอกว่า "เปล่านี่ พี่ไม่ได้เปิดไวไฟ"
แฟนผมก็พูดขึ้นว่า  “พี่เราอยู่กันกี่คนนี่  ทำไมมือถือหนูมันโชว์ว่า มีคนต่อไวไฟอยู่ 2 เครื่อง” ผมก็เลยปิดโน๊ตบุคของผม แฟนก็บอกว่า "อืม เหลือต่ออยู่เครื่องเดียวแล้ว"
"อ้าวแล้วอีกเครื่องของใครอะ"

            ตอนนั้น มองหน้าแฟน แล้วก็ พากัน งง พยายามนึกว่าเรามีอุปกรณ์อะไรที่ต่อเน็ตได้อีกไหมแต่ก็นึกไม่ออกอยู่ๆแฟนก็พูดว่า "หรือว่า น้าลืมมือถือไว้ ไปดูในห้องที่น้านอนซิ" เราก็ต่างพากันเดินขึ้นไปที่ห้องนอนเล็กชั้นบน แฟนยืนอยู่หน้าประตูห้อง ผมเดินเข้าไปในห้องนอน มองหามือถือ ที่เตียง ที่โต๊ะ แต่ก็ไม่เจอ
สักพักแฟนก็บอกว่า  "อ้าว หายไปแล้ว สัญญาณการเชื่อมต่อหายไปแล้ว" แฟนก็ได้แต่พูดว่า "แปลกจัง ของใครมาแอบต่อเน็ตกับเรานะ สงสัยคนข้างบ้าน"

          คืนนั้นหลังจากเข้านอนกัน กลางดึกอยู่ๆผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิง สะอื้นไห้ อยู่ข้างๆผมนอนหันหลังให้แฟน พอจะหันไปดูแฟน ผมก็ถึงกะผวา ใจหายวาบ เจอแฟนนั่งพับเพียบ ก้มหน้า สะอื้นไห้ อยู่ท่ามกลางความืด ผมรีบลุกขึ้น ไปจับตัวแฟนแล้วถามว่า "ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร" แต่เธอไม่ตอบ ผมเลยก้มมองดูหน้าแฟน เห็นหลับตาอยู่ ก็เคยคิดว่า สงสัยละเมอ  เลยเขย่าตัวเธอแรงๆ จนเธอตื่น เธอมองหน้าผม แล้วก็ถามผมว่า "อะไร"ผมก็บอกว่า "ละเมอหรือเปล่านี่ ลุกมานั่งทำอะไร" เธอก็พูดว่า "อ้าวหรือ หนูละเมอหรือ" ว่าแล้วเธอก็นอนต่อ เหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไร ด้วยความง่วง

         ตื่นเช้ามา ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่แฟนนอนละเมอให้ฟัง วันนี้วันเสาร์ แฟนผมต้องกลับบ้านต่างจังหวัด เธอจึงดูยุ่งๆอยู่กับการเตรียมกระเป๋าเดินทาง จนแทบไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แฟนพูดว่า “ พี่วันนี้พี่อย่าลืมไปนิมันต์พระนะ” สายๆเธอก็ออกเดินทางไปต่างจังหวัด ประมาณช่วงสี่โมงเย็น แฟนโทรมาหาผม 
บอกว่า "พี่ พี่อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม" ผมก็เลยสงสัยว่าทำไมแฟนถามแบบนี้ "พี่หนูไม่อยากพูดให้พี่กลัวนะ   แต่อยากให้พี่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี "
ผมก็ยิ่งสงสัยว่ามันเรื่องอะไร แล้วแฟนผมก็เล่าให้ฟังว่า เจอน้ามาหาที่บ้านแม่ แล้วแกก็มาเล่าให้ฟังว่า อย่าอยู่เลยบ้านหลังนั้น ผีเยอะ น้าแกบอกว่า ตอนวันแรกที่ทำกับข้าวแล้วจะยกกับข้าวไปที่โต๊ะ น้ามองไปที่โซฟายาว เห็นหัวคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟายาว หลายหัวเลย น้าบอกว่าตกใจมาก แต่ไม่กล้าบอก แล้วตอนเอาถังขยะไปทิ้งหน้าบ้าน ถังขยะมันอยู่ตรงข้าม เลยต้องเดินข้ามถนนไป  อยู่ๆมีป้าที่อยู่บ้านตรงข้าม ยืนอยู่ในรั้ว ถามว่า "ทำอะไรกินกันหรือ กลิ่มหอมมาก" น้าก็เลยยิ้มทักทายไป แล้วก็บอกว่า "เดี๋ยวหนูจะทำมาให้กินนะป้า" แล้ววันต่อมา น้าทำแก้งส้มไปให้ พอเดินเข้าไปในรั้วบ้าน ด้านหน้าบ้านดูสภาพเหมือนบ้านปกติ แต่พอเดินเข้าไปดูดีๆ มองทะลุกระจกหน้าต่างไป ถึงเห็นว่า สภาพข้างใน ไม่มีอะไรเลย เป็นเศษอิฐเศษปูน ตกเกลื่อนในบ้าน หน้าต่างด้านข้างก็แตกทุกบาน ผ้าม่านก็ขาดขาดรุ่งริ่ง น้าเห็นนี่ ขนลุกซู่ เลย เฮ้ยนี่มันบ้านร้างนี่หว่า แกเลย ตัดสินใจ สาดแกงส้มไปตรงแถวๆพุ่มต้นไม้หน้าบ้านป้า แล้วก็รีบเดินออกมา

            พอแฟนเล่าจบ ผมนี่เสียวหลังวาบเลย มองรอบบ้าน แล้วดูวังเวงเลยคราวนี้ พอวางสายกับแฟนได้ ผมก็สงสัยว่าน้าพูดจริงหรือเปล่า ก็เลยออกไปดูบ้านตรงข้าม พอไปถึงหน้าบ้าน สภาพบ้าน ถ้าไม่สังเกตุอะไร ก็เหมือนบ้านปกตินี่แหละ แต่อ้อมไปดูด้านข้างบ้านจะเห็นว่า มองทะลุหน้าต่างไป เห็นผนังถูกทุบบ้างส่วน มีก้อนอิฐก้อนปูนตกเกลือนกระจาย สภาพแบบนี้ ไม่มีคนอยู่แน่ๆ เท่านั้นแหละ ผมนี่รีบเผ่นเลยครับ ไม่หันหลังไปมองเลย กลับเข้าบ้าน แล้วนั่งคิด คืนนี้จะเอายังไง

          สักพัก อยู่ๆลูกบิดประตูหน้าบ้าน ก็เปิดได้เองมีชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา แล้วเขาก็ชะงัก มองหน้าผมที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ผมก็มองหน้าเขา แล้วเขาก็ถามว่า "คุณเป็นใคร มาอยู่ในบ้านผมได้ไง  " เขาบอกว่าเขาเป็นลูกเจ้าของบ้านหลังนี้ แล้วคุณหละเป็นใคร ผมก็บอกเขาว่า ผมโทรไปตามเบอร์ในใบปลิว แล้วมีผู้หญิงรับสาย บอกว่า ให้มาดูบ้านก่อน ตามที่อยู่ในใบปลิว ปลายสายบอกว่า เข้ามาดูได้ตลอด พอมาแล้วก็เจอผู้หญิงวัยกลางคน อวบๆ ผมหยักโสก ทาปากสีแดง
เขาบอกว่า   ให้โอนเงินเข้าบัญชีนี้ เป็นกระดาษเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนสัญญาเดี๋ยวค่อยมาเซ็นต์อีกที 

             ผู้ชายคนนั้นพอได้ฟังผมชี้แจงเขาก็เริ่มมีอาการอ่อนลง หลังจากดูตอนแรกท่าทีเหมือนจะเอาเรื่อง ผมเดินไปค้นหาเศษกระดาษเล็กๆที่เจ้าของบ้านเขียนเลขบัญชีธนาคารให้ อยู่ในกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค แต่ก็ไม่เจอ ผมก็เลยเปิดโน๊ตบุ๊ค เอาภาพที่ผมแค๊ปหน้าจอตอนโอนเงินไว้ ให้เข้าดู เขาเดินมาดูแล้วก็พูดว่าบัญชีแม่ผมเอง ผมก็เลยบอกว่า คราวนี้เข้าใจแล้วนะว่าผมไม่ใช่ผู้บุกรุก แล้วเขาก็บอกว่า เขาไม่ได้ตั้งใจมาหรอก แต่เมื่อเช้ามีผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาแล้วนัดว่าวันอาทิตย์จะมาดูบ้าน 
วันนี้ผมเลยพาลูกน้องมาดูความเรียบร้อยก่อน ถ้าคุณตกลงกับแม่ผมแล้ว ก็คงต้องปฏิเสธรายนั้นไป

            แล้วผู้ชายลูกเจ้าของบ้าน ก็ถามผมว่า แล้วมาอยู่ได้กี่วันแล้ว มีอะไรให้เขาช่วยไหม หรือมีอะไรที่จะให้ซ่อมไหม เพราะบ้านทิ้งไว้นานแล้ว ไม่ได้มาดู 
ผมก็เลยบอกว่า มีฝักบัวห้องน้ำชั้นบนน้ำไม่ไหล ช่วยให้คนมาซ่อมให้หน่อย พูดจบเขาก็ โทรหาลูกน้องที่รออยู่ข้างนอก ให้เข้ามาในบ้าน ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาสองคน ท่าทางแต่งตัวมอมแมม ยังวัยรุ่นทั้งคู่ เสียงลูกชายเจ้าของบ้านสั่งงาน ให้ช่างสองคนไปตรวจดูว่าน้ำข้างบนบ้านทำไมไม่ไหล ลูกน้องสองคนนั้นก็พยักหน้าแล้วก็เดินดุ่ยๆขึ้นไปชั้นบน คนหนึ่งถือบันได คนหนึ่งถือกล่องเครื่องมือ ส่วนตัวลูกชายเจ้าของบ้านเอง ก็ขอตัวออกไปทำธุระเดี๋ยว แล้วถึงจะกลับมารับลูกน้อง

            ผมขึ้นไปดูช่างสองคนที่กำลังซ่อมห้องน้ำให้ เห็นช่างก้มๆเงยๆ อยู่พักหนึ่งแล้วก็บอกว่า น้ำก็ไหลนี่ครับ ผมก็เลยบอกว่า ชักโครกกับก๊อกอ่างล้างหน้า มันไหลครับ แต่ตรงฝักบัวมันไม่ไหล ช่างก็เลยลองเปิดดู ก็ไม่ไหลจริงๆ  ช่างก็เลยหันมาบอกผมว่า ต้องเปิดฝ้าดู แล้วเขาก็เอาบันใดมากาง ปีนขึ้นไปเปิดฝ้าดู เห็น เอาไฟฉายส่องดูอยู่สักพัก ผมก็เลยลงไปข้างล่าง ปล่อยช่างให้ซ่อมไป นั่งเล่นโน๊ตบุ๊ค รอไม่ถึงนาที อยู่ๆ ช่างก็ เดินถือบันใดลงมา  หน้าตาเลิกลั่ก  ดูรีบๆ ไม่สงบเสงี่ยม เหมือนตอนแรก ผมก็เลยถามไปว่า "อ้าว ซ่อมเสร็จแล้วหรือช่าง" ช่างพยักหน้าพร้อมกัน แล้วคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า อ๋อ วาล์วบนฝ้า ตัวหนึ่งมันปิดอยู่อะครับไม่รู้ว่าใครไปปิดไว้
พูดยังไม่ทันขาดคำเลย ช่างคนหนึ่งก็เดินออกหน้า กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ดูมีพิรุทยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก  เลยเดินขึ้นไปดูความเรียบร้อยที่ห้องน้ำชั้นบน
พอเปิดประตูเข้าไป ก็ถึงกับอารมณ์เสียเลย ช่างทิ้งเศษอะไรไว้เต็มห้องน้ำไปหมด แล้วฝ้าก็ไม่ปิดให้ ก็นึกตำหนิช่างอยู่ในใจว่า จะรีบไปไหน  

             แต่พอลองเปิดก๊อกฝักบัว ก็ปรากฏว่ามีน้ำไหลออกมาใช้ได้ ตามปกติแล้ว ผมเลยลงไปเอาไม้กวดมาเก็บกวดขยะ ในห้องน้ำให้เรียบร้อย พอเก็บขยะเสร็จแล้ว ก็มองไปที่แผ่นฝ้าที่เปิดอยู่ อ้าวบันไดก็ไม่มีแล้วจะขึ้นไปปิดยังไงหละนี่ ผมเลยไปเอาเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่างขึ้นมา จะได้ใช้เหยียบขึ้นไป เพื่อจะปิดฝ้าในห้องน้ำได้
พอผมดึงแผ่นฝ้าออกมา อยู่ๆก็มี ผ้าสีแดงๆ ตกลงมา ที่พื้น ผมรีบหยิบมาดู ปรากฏว่าเป็น คล้ายๆผ้ายันต์ลงอักขระต่างๆ ม้วนๆอยู่ แล้ว มีสายสิญจน์พันไว้ สายสิญจน์นั้นก็ลากยาวขึ้นไปข้างบนฝ้า ผมเลยดึงสายสิญจน์จนขาด แล้วก็ม้วนๆส่วนที่เหลือเก็บไว้บนฝ้าแล้วก็รีบปิดฝ้าไป ส่วนผ้ายันต์สีแดงผมก็เอาทิ้งลงไปในถังขยะรวมกับเศษขยะอื่นๆ

             หลังจากเก็บกวดเสร็จแล้ว ก็รู้สึกหิว เพราะเริ่มค่ำแล้ว ผมก็เลยแต่งตัว ออกไปข้างนอก เพื่อไปหาอะไรทานเกือบสองทุ่มกว่าๆ ผมกลับมา พอถึงหน้าบ้านก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะเห็นไฟเปิดอยู่ทั้งหลังเลย มองไปที่หน้าต่างชั้นบน ตรงห้องนอนด้านหน้า ก็มีไฟเปิดอยู่ เห็นเงาคนเดินไปมา  “อ้าว ทำไมแฟนเรากลับมาแล้วหละ พึ่งไปเมื่อเช้านี่เอง สงสัยจะกลัวเราตกใจกับเรื่องที่เล่าทางโทรศัพท์“  พอเข้าไปในบ้าน ผมก็ตะโกนขึ้นไปข้างบนว่า พี่กลับมาแล้วนะ มามา ซื้อขนมมาด้วย ลงมากินเร็วผมไม่ทันฟังเสียงตอบว่าอะไร ก็เดินเข้าไปในครัว หาจานชามมาใส่ ของกินที่ซื้อมา ได้ยินแต่เสียงดังตึงตังอยู่ชั้นบน  เดี๋ยวก็มีของตก เดี๋ยวก็มีเสียงเดิน พอเอาของกินใส่จานเสร็จก็เรียกแฟนลงมากิน แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับมา พอยกของกินมาที่โต๊ะหมดแล้วทุกจาน ก็ยังเห็นเงียบอยู่ก็เลยคิดว่าจะเดินขึ้นไปดูว่า แฟนทำอะไรอยู่

             อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรับโทรศัพท์ ได้ยินเสียงแฟนถามว่า พี่ทำไรอยู่ กินข้าวหรือยังผมก็เลยตอบไปว่า อ้าวโทรมาทำไมนี่ พี่อยู่ข้างล่าง เรียกตั้งนาน ไม่ได้ยินหรือแฟนถามกลับมาว่า ข้างล่างไหน นี่หนูยังอยู่บ้านแม่อยู่นะ ผมก็บอกว่า อะ อย่ามาอำ ก็ได้ยินเสียงเราเดินตึงตังอยู่ข้างบน ถ้าเรายังไม่กลับมาแล้วใครมาเปิดไฟไว้ทั้งบ้านหละ แฟนผมก็ตะคอกกลับมา  บ้าแล้วพี่ ไม่เชื่อพี่ลองไปดูรองเท้าหนู หน้าบ้านซิ ผมชะงักนิดหนึ่ง  ค่อยๆเดินไปชะโงกดูตรงประตูหน้าบ้าน เฮ้ย.. จริงๆด้วย ไม่มีรองเท้าผู้หญิงเลย อ้าว .. แล้วใครอยู่ข้างบนวะ ตอนนั้น เริ่มใจหวิวๆแล้ว เอาไงดี ผมตัดสินใจ เดินไปหยิบมีดอยู่ในครัว  ค่อยๆย่องขึ้นบันใดไป เงาที่เราเห็นอยู่ในห้องชั้นบน ไม่ผีก็โจรหละวะ ตอนนั้นใจเต้นแรงมาก ราวกับจะไปออกรบก็ไม่ปาน พอถึงหน้าห้องนอนใหญ่ชั้นบน ผมก็ตะโกนถามว่า นั้นใคร แต่ก็เงียบไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ผมรีบผลักประตูเข้าไปอย่างแรง เสียงประตูกระทบผนังดังปั๊ง ผมรีบมองไปรอบๆห้อง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ผมนี่เสียวสันหลังทันที กลัวว่ามันจะดักทำร้ายเราข้างหลัง รีบหันหลังกลับไปมอง ตรงโถงนั่งเล่น แล้วผมก็ไปสำรวจทุกห้องชั้นบน ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นก็ได้แต่ปลอมใจตัวเอง หรือว่าตอนที่เราเข้ามา แล้วได้ยินเสียงตึงตัง มันอาจจะเป็นเสียงแมวเข้ามาวิ่งเล่นอีกก็ได้

                หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำเข้านอน ตามปกติ แฟนโทรมาคุยเป็นเพื่อน อยู่พักใหญ่ จนเกือบๆ จะเที่ยงคืน ก็วางหูไป แต่พอวางสายจากแฟนเสร็จ จะนอนก็นอนไม่หลับ และรอบๆข้างมันเงียบมากๆ  เงียบจนน่ากลัว ผมเลยเอาโน๊ตบุ๊คมาเปิดเพลงฟังเบาๆ แต่พอเปิดเพลงได้ไม่นาน อยู่ๆก็ได้ยินเสียง ดังปัง ดังมาจากข้างล่าง
ผมตกใจ เสียงอะไรวะ เอียงหูฟังอย่างตั้งใจ  สักพักก็ได้ยิน เหมือนเสียงคน เดินลากเท้าไปมา ผมเลยรีบปิดเพลง แล้วไปเอียงหูฟังอยู่ข้างประตูห้องให้แน่ใจ อีกที
แล้วผมก็ได้ยินเหมือนเสียง คนเดิน  เดินแบบลากเท้าไปกับพื้น  แซด  แซด  แซด ฟังจนแน่ใจว่า ใช่แน่ๆ มันต้องมีอะไรอยู่ข้างล่างแน่ๆ  ก็เลยรีบเอาไฟฉาย เปิดประตูเดินลงไปดูที่ชั้นล่างทันที พอเดินลงไปชั้นลาง ผมรีบส่องไฟฉายไปตรงสวิทช์ไฟแล้วก็รีบเปิดไฟ พอมีแสงสว่าง ผมก็เห็นประตูห้องที่เคยแง้มหลอนผม  เปิดอ้าซ่าอยู่ 
อืม.. เมื่อกี้เสียงดังปัง นี่คงเป็นประตูบานนี่แน่ ผมรีบปิดมันแล้วก็ล๊อกมันไว้เสียเลย หลังจากนั้นก็เดินดูจนทั่วชั้นล่าง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เลยเปิดไฟทิ้งไว้  แล้วก็ขึ้นไปนอน

           พอกลับมานอน ผมก็เปิดเพลงเบาๆ เป็นเพื่อนอีก สักพักก็ได้ยินเสียง ดังตึง ตึง ตึง ตึง อยู่ตรงแถวๆ ชานพักบันใด เสียงเหมือนคนตกบันใดเลย ผมรีบไปตรงประตูห้องอีก เอียงหูฟังให้แน่ใจ คราวนี่ได้ยิน เสียง เดินลากเท้า ดัง แซด แซด ค่อยๆขึ้นบันไดขึ้นมาทีละขั้น ทีละขั้น ตอนนั้นแถบจะกั้นลมหายใจตัวเองไม่ให้มีเสียงดังเลย มันดัง แซด แซด ขึ้นมาทีละขั้น ทีละขั้น จนขึ้นมาถึงชั้นสอง ผมมองขึ้นไป เห็นช่องเหนือประตู เป็นบานเกร็ด ผมอยากรู้ว่ามันคือเสียงอะไรกันแน่  เลยเอาเก้าอี้เล็กๆ ตรงโต๊ะเครื่องแป้งมา ใช้เหยียบ เพื่อปีนขึ้นไปส่องดูตรงช่องบานเกร็ดนั่นเสียง แซด  แซด นั้นเดินเข้ามาใกล้ตรงหน้าประตูห้องนอน ผมตัดสินใจ มองลอดช่องบานเกร็ด ออกไปที่หน้าห้อง ทันที แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง สิ่งที่ผมเห็นเป็นร่างผู้หญิง ใส่ชุดนอนแบบคลุมยาว ที่คอเสื้อมีเลือดเต็มไปหมด เลยขึ้นไปจากคอ ไม่มีหัว ขณะที่ผมกำลังขนลุกชูชันอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้ยินเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้นภายใต้ความเงียบไม่ต้องดูหรอก ฉันอยู่นี่ ผมรีบหันไปตามที่มาของเสียง ก็เห็น ศรีษะผู้หญิงลอยอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งหน้าขาวซีด ตาโบ๋ หัวหยิกหยอง ปากเหี่ยวแห้ง ผมขนหัวลุก เย็นสันหลังวาบ วาบ  ไม่กล้าขยับตัวไปไหนเลย คือจะก้าวก็ก้าวไม่ออก รอบข้างมันเย็นยะเยือกไปหมด

                 พอลืมตาขึ้นมาอีกที ก็กั้นใจ เดินลงจากเก้าอี้ เปิดประตู รีบเดินก้มหน้า ไม่มองอะไรรอบข้าง มองแต่พื้นทางเดิน พอลงมาถึงชั้นล่าง หางตายังแอบเห็น เงาคนยืนเรียงรายเต็มบ้านไปหมด ผมไม่มอง  รีบเดินออกจากบ้าน พอพ้นประตูบ้านได้ ก็ใส่เกียร์หมา จ่ำอ้าว มุ่งตรงไป ตรงปากซอยระหว่างทาง สองข้างทางมืดสนิท ผมไม่มองอะไรทั้งนั้น เห็นแต่แสงไฟ ตรงป้อมยามไกลๆ ตรงปากซอยพอวิ่งไปถึง ก็เห็น รปภ แก่ๆ นอนหลับอยู่ตรงป้อมยาม ผมเขย่าตัว รปภ ลุงๆ ช่วยผมด้วย ผมโดนผีหลอก พูดไปพลาง หอบไปพลางด้วยความเหนื่อย ลุงยาม ตกใจตื่น มองหน้าผม  แล้วก็พูดว่า เป็นอะไร อะไรกัน อืมหือ  กินเหล้าโชยมา พร้อมกับเสียงของลุง
ผมเลยถามไปว่า  ลุงเมาหรือเปล่านี่
  
::เปล่าๆ ลุงแค่กินย้อมใจไปงั้นแหละ  ว่าแต่คุณไปเจออะไรมา ถึงได้หอบแฮกๆแบบนี้
::: ผีลุง ผีผู้หญิงไม่มีหัว

ผมเขย่าแขนลุง  ลุงช่วยผมด้วย ลุง
ลุงแกก็สะบัดแขน ออก   

:: เฮ้ย ... เจอผีก็ไปบอกพระซิ  มาบอกลุง ลุงจะช่วยอะไรได้
:::โหลุง พูดเป็นเล่นไป ดึกป่านนี่ มีพระที่ไหนหละ

ลุงแกก็หัวหึ หึ ในลำคอ งั้นก็รออยู่ตรงนี้จนถึงเช้าแหละ เดี่ยวพระก็มา พูดจบ แกก็หลับต่อ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลย ล่วงกระเป๋ากางเกงดู มีตังส์อยู่แบงค์ร้อยพอดี 

::: ลุง ลุงมีเหล้าไหม ผมซื้อหน่อย เอาไปร้อยหนึ่งเลย
ลุงแกลืมตามาดู  
:: เฮ้ย .. ลุงไม่ขายหรอก แต่แบ่งให้จิบย้อมใจได้นิดหน่อย  มันมีจำนวนจำกัด 

พูดจบแกก็ล้วงขวดเหล้าขาว ออกมาจากใต้โต๊ะที่แกนั่ง ผมก็เอามาซดไปหนึ่งที  ลุงยามมองตาม เหมือนกลัวจะเสียของพอจิบไปอึกหนึ่ง แล้วรู้สึกเหมือน ท้องไส้ที่ปั่นป่วนเมื่อสักครู่ เริ่มรู้สึกอุ่นๆ ลุงจับขวดเหล้าไปกระดกอีกหนึ่งที่ ก่อนจะ เอาขวดไปเก็บที่เดิม

::: ลุงผมถามจริงเถอะ  ลุงอยู่ตรงนี้มานานยัง

แกก็ตอบว่า ก็นานพอดู 

::: แล้วลุงรู้จักผู้หญิงเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ไหม 
ลุงยาม มองหน้าผมเขม่ง   
:: รู้จักซิ ยัยคุณนายเจ้าของบ้าน ที่ชอบทาปากแดงๆ ใช่ไหม 

ผมรีบพยักหน้า ใช่ๆลุง 

:: ยัยคุณนายนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้ว
::: หา.. อะไรนะลุง
:: ก็ยัยคุณนายนั่น ถูกคนที่มาเช่าแทงตายในบ้านหลังนั้นแหละ 
::: หา จริงหรือลุง  ลุงไม่ได้โกหกนะ
:: จริงซิวะ ก็ลุงเองนี่แหละที่ไปเห็นศพ  กว่าจะรู้ว่ามีคนตายในบ้าน ก็ล่วงไป เจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว 

ลุงเข้าไปดูก็เห็นศพขึ้นอึด จมกองเลือด อยู่ในบ้าน พอฟังแล้ว ผมนี่จากที่ขนหัวลุกตั้งอยู่แล้ว ตอนนี้แทบจะหัวโกร๋นเลย

::: เป็นไปได้ไงลุง ก็ตอนที่ผมมาเช่าบ้านหลังนี่ ผมก็เจอผู้หญิงเจ้าของบ้านหลังนั้นอยู่เลย

แล้วเมื่อตอนเย็นนี่ผมก็ยังเจอลูกชายของเจ้าของบ้าน เขายังบอกเลยว่า ที่ผมเจอคือแม่เข้าเอง 
ไม่เห็นบอกผมสักคำเลยว่าแม่เขาตายไปแล้ว ลุงหัวเราะ 5555 5  

:: ก็เขาคงกลัวคุณไม่กล้าเช่าบ้านต่ออะซิ 

ยัยคุณนายนั้น หลังจากตายไปแล้วก็เฮี้ยนหนัก ชอบหลอกให้วินมอไซด์หน้าใหม่ๆมาส่งบ้านหลังนั้นตอนตีหนึ่งตีสองประจำชอบมาหลอกมาหลอนยาม ยืนอยู่หน้าบ้าน แลบลิ้นปิ้นตา บางทีวันดีคืนดีก็มายืนควักไส้ตัวเองเล่นอยู่หน้าบ้านซะงั้น จนยามพากันลาออกเป็นแถวๆ พอฟังยามพูดจบ ผมนี่เข่าอ่อนเลย นี่เราคุยกับผีตั้งแต่วันแรกเลยหรือนี่ ผมควักเงินออกมาหมดตัว
  
::: ลุง  อันนี่ ถือเสียว่า ผมเลี้ยงเหล้าลุงนะ   ลุงช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นให้ฟังหน่อย

ลุงมองออกไปตรงข้างหน้า แบบเหม่อลอย 

:: คุณไม่ใช่คนเดียวหรอกที่โดนแบบนี้ มีคนมาเช่าหลายต่อหลายรายแล้วที่มาอยู่ไม่กี่อาทิตย์ก็ต้องย้ายออก

จนมาพักหลัง หากมีใครย้ายมาใหม่ พวกวินมอเตอร์ไซด์แถวนี่ก็จะพนันกันว่า จะอยู่ได้เลยอาทิตย์หนึ่งไหมดีนะ ที่คุณแค่เป็นผู้เช่า ไม่ใช่เจ้าของบ้าน 

::: ดียังไงหรือลุง 
:: ก็เท่าที่ลุงรู้ ถ้าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น อะ ตายทุกราย
::: หา.. จริงหรือลุง ทำไมเป็นแบบนั้นหละ
:: ลุงจำได้เลย ศพแรกในบ้านหลังนั้น เป็นคุณนายสาวสวย ผู้คอตายในบ้าน

น่าเสียดายที่มีลูกแล้ว ก่อนตายคุณนายสาวก็เอายาเบื่อหนูกรอกปากลูกสองคน ทิ้งศพไว้ตรงโถงชั้นสอง  

::: แล้วเขาผูกคอตายอยู่ตรงไหนลุง
:: ก็ที่ห้องเล็กชั้นล่างติดกับบันใดทางขึ้น
::: หา.. ลุงรู้ได้ยังไง 
:: ก็ลุงนี่แหละ เป็นคนไปช่วยพวกมูลนิธิมันมาเก็บศพคุณนาย

ลุงนี่เห็นกะตาเลย สภาพศพคุณนาย ผูกคอตาย ตาถล่น ลิ้นจุกปาก

::: อืม แล้วทำไมเขาถึงฆ่าตัวตายหละลุง
:: ก็ไอ้เสี่ยนั่นแอบไปมีกิ๊ก ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน รถคว่ำตายทั้งคู่  

พอคุณนายสาวสวยนั้นทำงานศพสามีเสร็จ ก็ผูกคอตายอย่างที่เล่านั่นแหละ ต่อมามีคนมาซื้อบ้านหลังนี่ต่อ อยู่ได้ไม่นาน ก็ได้ยินข่าวว่า รถคว่ำตายทั้งครอบครัว 

::: โห จริงหรือลุง  ทำไมตายง่ายจัง 

ลุงเล่าต่อ

:: ศพต่อมาในบ้านหลังนั้น เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่แล้ว แต่บังเอิญแท้งลูกเสียก่อน  

ไม่รู้คิดยังไง จะน้อยใจสามีหรือที่เสียใจเพราะแท้งลูกไม่ทราบ เธอก็ผูกคอตายที่ห้องเดียวกันกับที่ศพแรก พอสามีเธอกลับมาเห็นก็ใช้ปืนยิงกรอกปากตัวเองตาย ตรงหน้าห้องนั่น

:::โห ฟังลุงเล่าแล้วผมนี่ ขนลุกแล้วขนลุกอีก เลยนะลุง
:: ศพต่อมาก็เป็นยัยคุณนายเจ้าของบ้าน ที่ถูกแทงตายนั้นแหละ
::: อ้าวแล้วเขาจับคนที่แทงเจ้าของบ้านได้ไหมลุง
:: ไม่ได้ยินข่าวนะ ว่าจับได้ไหม  เพราะตั้งแต่ที่ยัยคุณนายนั้นตาย

ก็ไม่มีใครเห็นผู้เช่ารายนั้นเลย ไม่รู้ขนข้าวขนของออกกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่

::: แล้วคนที่มาเช่ารายอื่นๆ เขาเจออะไรกันบ้างลุง
:: ก็คล้ายๆกันนะ เท่าที่ฟังมา เจอเด็กมากวนบ้าง เจอผู้หญิงมาหลอกบ้าง 
::: อ๋อ ลุง แล้วลุงรู้จักป้าแก่ๆ บ้านตรงข้ามนั่นไหม
:: รู้ซิ รายนั้นก็แปลก 
::: แปลกยังไงลุง
:: ก็ตั้งแต่ ยัยคุณนายตายไป บ้านใกล้เรือนเคียง ก็ต่างพากันกลัว จนอยู่ไม่ได้ ต้องย้ายออกกันเป็นแถวๆ

แต่มีป้าแก่ๆ บ้านตรงข้ามบ้านยัยคุณนายนั้น ไม่ยอมย้ายออกสักที แกก็อยู่ของแกคนเดียวไม่มีลูกไม่มีญาติที่ไหน จนวันหนึ่ง แกก็ตกบันไดจากชั้นสองลงมา คอหักตายในบ้าน ไม่มีใครไปเจอ สามวันสามคืน รปภ ถึงไปจอศพก็แจ้งให้ญาติมาจัดแจงทุกอย่าง บ้านก็ถูกทิ้งร้างอยู่ได้สักพัก อยู่ๆก็มีคนในบ้านเขานั่นแหละ เฮโลกันมา ขนข้าวขนของ ของป้าออกจากบ้านไปหมด เห็นเขาเล่ากันว่า ป้าแกมีพินัยกรรม ซ่อนไว้ในบ้าน ญาติๆเลยพากันหากันใหญ่ หาไม่เจอก็พากันทุบกำแพง ทุบผนังหาพินัยกรรมกัน  จนบ้านก็เป็นสภาพอย่างที่เห็น แล้วก็ทิ้งร้างไว้อย่างนั้น จนถึงทุกวันนี้

::: โห น่าสงสารป้าแกนะ ลุง มีเงินมีทองก็ใช่ว่าจะสุขเสมอไป

แต่อยู่ๆ ลุงก็พูดขึ้นว่า 

:: เออ แต่ผีหัวขาดที่คุณบอกนี่ ลุงก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนนะ

         

            ผมไม่รู้งีบหลับไปเมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที ตอนมีคนมาสะกิดเรียก “ พี่ พี่ “ ผมลืมตาตื่นมา  เห็นหน้า รปภ หนุ่ม กำลังเรียกผมอยู่ ผมมองไปรอบๆ เห็นตัวเองนั่งอยู่ในป้อมยาม ก็ งง ว่าเอ๊ะเรามานั่งตรงนี้ได้ไง นั่งนึกอยู่แป๊บหนึ่ง ก็นึกขึ้นมาได้ อ้าวแล้วลุงยามไปไหนแล้ว รปภ หนุ่ม ชี้ไปที่ถนน   “โน้น แกปั่นจักรยานกลับบ้านไปแล้ว” ผมถามว่านี่มันกี่โมงแล้ว  รปภ ก็ตอบว่า "เจ็ดโมงกว่าแล้ว" ผมถามว่า อ้าวแล้วน้องไม่เข้าเวร กะ กลางคืนแล้วหรือ รปภ หนุ่มส่ายหัว หัวเราะ "ไม่อะพี่ ของผมดึกสุดก็ทุ่มหนึ่ง นอกนั้นลุงแกอยู่ยาวยันเช้า"

             ผมเอามือสำรวจไปตามกระเป๋ากางเกง  ไม่มีกระเป๋าตังส์ไม่มีมือถือ เลยนึกได้ว่า เมื่อคืนวิ่งออกมาจากบ้าน ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาสักอย่าง ผมเลยวาน รปภ ให้ช่วยเดินไปที่บ้านเป็นเพื่อนหน่อย พอถึงประตูหน้าบ้าน รปภ บอกว่า "ผมรออยู่นี่นะครับ" ผมหันไปมอง  รปภ  "เฮ้ย.. มาด้วยกันซิ"  นี่ขนาดกลางวันนะ แค่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ก็ขนลุกซู่แล้ว ผมเดินไปดึงมือ รปภ ให้เดินตามมา ผมเดินนำขึ้นไปชั้นสอง มี รปภ เดินตามมาติดๆ ตอนจะก้าวขึ้นบันใด ก็อดใจไม่ได้ ที่จะเหลือบมอง ประตูห้องนอนชั้นล่าง แค่เห็นบานประตูนี่ ก็แทบจะก้าวขาไม่ออกแล้ว

             ขึ้นมาถึงชั้นบนได้ ผมก็รีบเข้าไปในห้องนอนหยิบเอากระเป๋าตังส์ กับมือถือ แล้วรีบวิ่งลงมาชั้นล่างอย่างเร็ว  รปภ นี่หน้าเหวอเลย  รีบวิ่งตามผมลงมาด้วย
พอออกมาจากบ้านได้ ก็ขอบใจ รปภ หนุ่มที่อุตสาห์มาเป็นเพื่อน แล้วผมก็เดินไปหน้าโครงการ โทรหาแฟน แฟนรับสาย ถามว่า "มีอะไร โทรมาแต่เช้าเลย"
ผมก็เลยบอกแฟนไปว่า เราต้องหาที่อยู่กันใหม่แล้ว แฟนก็พูดเหมือน ดีใจ  แต่ก็รู้สึกเสียดายเงินมัดจำ ผมก็เลยบอกว่า "ไม่ต้องเสียดายหรอก คิดเสียว่า ทำบุญ" 
แฟนถามว่า   “แล้วพี่จะย้ายวันไหน” ผมก็บอกว่า "วันนี้เลย  เธอมาช่วยพี่เก็บเสื้อผ้า เก็บของหน่อยได้ไหม"
แฟนรับปาก ว่าจะมาวันนี้  อาจจะถึงบ่ายๆหน่อย ส่วนผมก็จะออกไปจองห้องเช่าใหม่ คงแถวๆ ที่เดิมที่เคยพัก

              หลังจากวางหูเสร็จผมก็ขึ้นแท๊กซี่ไป หาคอนโดที่ผมเคยเช่าทันที หลังจากจัดแจ้งมัดจำเงินและได้ห้องพักแล้ว ผมก็เผลองีบหลับไปด้วยความเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง ตอนมีสายเข้า ดูนาฬิกาก็ราวๆ บ่ายสองกว่า  แฟนโทรมาบอกว่า "ใกล้จะถึงบ้านเช่าหลังนั้นแล้ว" ผมก็เลยรีบนั่งแท๊กซี่ออกไปเจอแฟนที่บ้านหลังนั้นทันที

 

            เรามาถึงกันบ่ายสามเศษๆ พอเข้าบ้านได้ ก็รีบขึ้นไปที่ห้องนอนใหญ่ จัดแจง เก็บเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ทันที ช่วงที่กำลังขมีขมันเก็บข้าวของกันอยู่ 
อยู่ๆก็ได้ยินเสียงรถเบรค ดังเอี๊ยดแฟนชะโงกหน้าไปดูที่หน้าต่าง ผมถามว่า "มีอะไร" แฟนก็ ได้แต่ อ้ำๆอึ้งๆ ผมก็เลยลุกขึ้นไปดูเห็นรถกระบะตำรวจ จอดอยู่สองคัน มีตำรวจทั้งในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ ยืนอยู่ข้างๆรถ ไม่ต่ำกว่า 10 คน แฟนถามผมว่า "ตำรวจมาทำไมพี่" ผมไม่ได้ตอบอะไร มองดูข้างล่างเห็นตำรวจพากันเดินเข้ามาที่หน้าบ้าน ผมกับแฟนเลยเดินลงไปข้างล่าง

            พอเปิดประตูบ้าน ก็เห็นตำรวจยืนรออยู่หน้าบ้าน ผมถามว่า "มีอะไรกันคุณตำรวจ" ตำรวจนายหนึ่ง ถามผมว่า "เป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่า"
ผมก็ตอบไปว่า "เปล่า เป็นผู้เช่าบ้าน" พูดยังไม่ทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ชี้มือกันไปทางหน้าบ้าน  บอกว่า "โน้นๆเจ้าของบ้าน" ผมมองไปก็เห็น ลูกชายเจ้าของบ้านเดินมากับญาติๆกลุ่มใหญ่ ผมชักเริ่ม งงๆ นี่มันอะไรกัน

            สักพัก ตำรวจก็พากันเข้ามาในบ้าน เต็มไปหมด มีการคุมตัวผู้ต้องหาเข้ามาในบ้านด้วยผมยืนดูไปมาอยู่สักพัก เลยถาม เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง 
ได้ใจความว่า 

"เมื่อคืน ประมาณตี 2 อยู่ๆผู้ต้องหารายนี้ก็วิ่งตาตั้งเข้ามาที่ สถานีตำรวจบอกว่า มามอบตัว ตำตรวจสักไซ้ไล่เรียงจนได้ใจความว่า มามอบตัวคดีแทงเจ้าของบ้านตาย ตำรวจจึงส่งมาที่ สน. ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ ช่วงควบคุมคนร้ายไว้ คนร้ายเอาแต่พร่ำเพ้อว่า "ยอมแล้ว กลัวแล้ว ยอมรับแล้ว อย่าทำฉันเลย" บางทีเงียบๆอยู่ก็ร้องโวยวายออกมา มีอาการสั่นกลัวตลอดเวลา"

              หลังจากสอบสวน คนร้ายก็รับสารภาพว่า "เขาได้ฆ่าภรรยาของเขาเอง อ้างว่าเมายาบ้า เห็นภรรยาเป็นผีจะมาบีบคอ เขาก็เลยชกภรรยาจนสลบ แล้วก็เอามีดบังตอ ฟันคอภรรยา ไปหลายทีจนคอขาด ตำรวจก็ถามต่อว่า "ทำไม ถึงต้อง ฆ่าเจ้าของบ้านด้วย เจ้าของบ้านมาเกี่ยวอะไร" ผู้ร้ายตอบกว่า "เจ้าของบ้านตอนมาหาตนทีไร ก็ชอบถามถึงแต่ว่า แฟนไปไหน แฟนไปไหน" ด้วยความระแวงว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องที่ตนเองเป็นคนฆ่าภรรยา ก็เลยใช้มีดแทงเจ้าของบ้านจนตาย แล้วตัวเองก็พาลูกหนีไป โดยเอาลูกไปฝากให้ญาติเลี้ยง ทางตำรวจถามว่า "แล้วทำไมตั้งนานพึ่งมามอบตัว"  ผู้ร้ายตอบมาว่า "วันอื่นๆมันไม่เคยมาหาผม อยู่ๆเมื่อคืนมันมาหาผม เล่นเอาซะผมไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนเลย" ตำรวจถามว่า  "มันไหนมาหา  ภรรยาที่เราฆ่าอะหรือมาหา" คนร้ายพยักน้าตอบ

              ผมยืนดูเขาทำแผนในบ้าน ตำรวจถามว่าพอฆ่าภรรยาแล้วเอาศพไปไหน คนร้ายก็พาไปชี้ตรงประตูหลังบ้านที่ปิดตาย จริงๆ มันไม่ได้ปิดตาย แต่คนร้าย ขุดหลุมอีกฝั่งของประตูเอาศพลงไปแล้วเทปูนทับ ปูนมันดันสูงขึ้นมากว่าพื้นเดิม เลยทำให้เปิดประตูไม่ได้ ตำรวจถามว่า "ทำไมถึงต้องเอามาโบกปูนทับตรงประตู"
ผู้ต้องหาตอบว่า "เห็นตรงนั้นปูนมันร้าวอยู่พอดี เลยลองทุบดู ปรากกฏว่ามันก็เป็นโพรงลงไปเป็นหลุ่มพอดี" 

               ตำรวจถามว่า "อ้าวแล้วศรีษะหละ เอาไปไหน โบกปูนไว้ด้วยกันหรือเปล่า" ผู้ต้องหาส่ายหน้า  แล้วพาเดินขึ้นไปที่ห้องน้ำชั้นบนคนก็รีบกรูกันตามขึ้นไป พอไปถึงห้องน้ำชั้นบน ผู้ต้องหาก็ชี้ขึ้นไปบนฝ้า ตำรวจก็ถามย้ำ "ศรีษะเก็บไว้ตรงนี้หรือ" ผู้ต้องหาพยักหน้า ตำรวจถาม "ทำไม ต้องเอามาไว้ตรงนี้" ผู้ต้องหาตอบว่า "เพื่อสะกดวิญญาณ" เจ้าหน้าที่พากันเอาบันใดมาปีน เปิดฝ้าดู ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ถือศรีษะ ที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ลงมารอบๆหัว มีสายสิญจน์พันรอบ หลายทบเลย
ผมนี่ขนลุกซู่อยู่คนเดียว  ตอนเห็นสายสิญจน์พันอยู่ตรงศรีษะนั่น

               เจ้าหน้าที่ถามผู้ต้องหาว่า "สะกดวิญญาณใช้สายสิญจน์พันเท่านั้นหรือ" ผู้ต้องหาตอบว่า "เปล่า มีผ้ายันต์ด้วย" ตำรวจเลยสั่งให้เจ้าหน้าที่หาบนฝ้าอีกครั้ง 
แต่หาอยู่นานก็ไม่เจอ (จะเจอได้ไงหละ ก็ผมเอาไปทิ้งแล้ว) ผมได้แต่ยืนดูเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร (มิน่าหละช่างสองคนที่มาซ่อมห้องน้ำ มันถึงรีบกลับ เพราะคงส่องไฟฉายไปเจอศรีษะภรรยาที่ตายนี่เอง) ตำรวจพาผู้ต้องหาลงมาชั้นล่าง แล้วก็ทำแผนตอนที่แทงเจ้าของบ้านเสียชีวิต แล้วก็ให้ผู้ต้องหา ขอขมาญาติและลูกผู้ตาย 
หลังจากทำแผนเสร็จ ตำรวจก็พาผู้ต้องหากลับไป  ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ

                ผมกับแฟนก็ขนข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ออกมาจากบ้าน ลูกชายเจ้าของบ้าน ก็เดินมาหาผมกับแฟน แล้วก็พูดว่า "ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกว่า แม่ของเขาเสียไปแล้ว เพราะกลัวว่าคุณจะไม่เชื่อ" ผมพยักหน้า อยู่ๆเขาก็ยืนเงินมาให้ผม แล้วก็พูดว่า "นี่เป็นเงินมัดจำที่คุณโอนมา ถ้าคุณไม่ได้อยู่ เราก็ไม่อยากเอาเปรียบ"

                ผมก็ขอบคุณเขา แล้วก็บอกให้เขาลองทำบุญบ้านดูสักที เขาพยักหน้าเหมือนรับปากแล้วผมกับแฟนก็รีบ ขนของขึ้นแท็กซี่ พอแท๊กซี่เคลื่อนออกไป แฟนก็พูดว่า "จบกันเสียทีนะคะ" ผมเลยหันกลับไปดูที่ถนน ว่าเราลืมของอะไรหรือเปล่า แฟนก็เลยหันกลับไปดูด้วย สักพัก แฟนก็พูดขึ้นว่า 

"พี่..! ป้าข้างบ้านโบกมือให้เราด้วย"

จบบริบูรณ์

 

ขอบคุณที่มาจาก : กระทู้ผีพันทิป - หลอน สะเทือนขวัญ

                         สมาชิกพันทิป หมายเลข 3062905