- 18 ก.ค. 2560
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ www.tnews.co.th
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยเล่าถึงเหตุการณ์ละสังขารของ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ไว้ในการเทศนาธรรมตอนหนึ่ง ดังนี้
..............................
พระอาจารย์มั่นนั้น จำได้ว่าเดือน ๔ ขึ้น ๑๔ ค่ำ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นวันที่ท่านเริ่มป่วย ท่านเล่าให้ฟังตอนไปกราบนมัสการท่าน
ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ไม่เหมือนกับคราวใด ๆ ซึ่งแต่ก่อนเวลาท่านป่วย ถ้ามีผู้นำยาไปถวายท่าน ท่านก็จะฉันบ้าง มาคราวนี้ท่านห้ามการฉันยาโดยประการทั้งปวงตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกป่วย โดยให้เหตุผลว่า
"การป่วยคราวนี้ไม่มีหวังจะได้รับประโยชน์อะไรจากยา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ตายยืนต้นอยู่เท่านั้น ใครจะมารดน้ำพรวนดินทะนุบำรุงเต็มสติกำลังความสามารถ ต้นไม้นั้นก็จะไม่มีวันกลับมาผลิดอกออกใบและแสดงผลต่อไปอีกได้เลย เพียงสักแต่ว่ายังยืนต้นอยู่เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าจะล้มลงจมดินในวันใด
ธาตุขันธ์ที่แก่ชราภาพขนาดนี้แล้วย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น หยูกยาจึงไม่เป็นผลอะไรกับโรคประเภทนี้ที่เขาเรียกว่า ‘โรคคนแก่’!"
[หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต]
ท่านว่า แม้ท่านจะห้ามยามิให้นำมาเกี่ยวข้องกับท่าน แต่ก็ทนต่อคนหมู่มากไม่ไหว คนนั้นก็จะให้ท่านฉันยานั้น คนนี้ก็จะให้ท่านฉันยานี้ คนนั้นจะฉีด คนนั้นจะให้ฉัน หนักเข้าท่านก็จำต้องปล่อยตามเรื่อง แม้มีคนมากราบเรียนถามเรื่องยาว่าถูกกับโรคของท่านหรือไม่ ท่านก็นิ่ง ไม่ตอบโดยประการทั้งปวง
เมื่ออาการของท่านหนักจวนตัวเข้าจริง ๆ ท่านก็บอกกับคณะลูกศิษย์ทั้งพระและญาติโยมว่า
"จะให้ผมตายในวัดป่าหนองผือนี้ไม่ได้ เพราะผมน่ะตายเพียงคนเดียว แต่ว่าสัตว์ที่ตายตามเพราะผมเป็นเหตุจะมีจำนวนมากมาย เพราะฉะนั้น ขอให้นำผมออกจากที่นี่ไปจังหวัดสกลนครเพื่อให้อภัยแก่สัตว์ซึ่งมีจำนวนมาก อย่าให้เขาพลอยทุกข์และตายไปด้วยเลย ที่โน้นเขามีตลาดซึ่งมีการซื้อขายกันอยู่แล้ว ไม่มีทางเสียหายเนื่องจากการตายของผม!"
พอท่านพูดและให้เหตุผลอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องยอมทำตามความเห็นของท่าน จึงเตรียมแคร่มาถวายและอาราธนานิมนต์ท่านขึ้นนอนบนแคร่ แล้วพร้อมกันหามท่านออกไปในวันรุ่งขึ้น
พอมาถึงวัดป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร แล้วก็พาท่านพักแรมอยู่ที่นั่นหลายคืน ซึ่งท่านก็คอยเตือนเสมอว่า
"ทำไมพาผมมาพักค้างที่นี่ล่ะ ... ผมเคยบอกแล้วว่าจะไปจังหวัดสกลนคร ... ก็ที่นี่ไม่ใช่สกลนคร!"
เมื่อจวนตัวเข้าจริง ๆ ในสามคืนสุดท้าย ท่านจึงไม่ค่อยจะนอนหลับ หากแต่คอยเตือนให้รีบพาท่านไปสกลนครเสมอ ๆ
เฉพาะคืนสุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่หลับไม่นอนเท่านั้น...ยังคอยบังคับว่า
"ให้รีบพาผมไปสกลนครในคืนวันนี้จงได้ ... อย่าขืนเอาผมไว้ที่นี่เป็นอันขาด!"
ท่านพูดย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ทำนองนั้น
แม้ที่สุดแต่ท่านจะนั่งภาวนา ท่านก็สั่งว่า
"ให้หันหน้าผมไปทางจังหวัดสกลนคร!"
ที่ท่านสั่งเช่นนั้นเข้าใจว่า เพื่อให้เป็นปัญหาอันสำคัญแก่คณะลูกศิษย์จะได้ขบคิดถึงคำพูดและอาการที่ท่านทำอย่างนั้นว่ามีความหมายแค่ไหนและอย่างไรบ้าง
พอตื่นเช้า... จะเป็นเพราะเหตุใดก็สันนิษฐานยาก เผอิญชาวจังหวัดสกลนครซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านพร้อมกันเอารถยนต์มารับท่านสามคัน แล้วอาราธนานิมนต์ให้ท่านไปจังหวัดสกลนคร ท่านก็เมตตารับทันทีเพราะเตรียมจะไปอยู่แล้ว
ก่อนจะขึ้นรถยนต์ หมอได้ฉีดยานอนหลับให้ท่าน จากนั้นท่านก็นอนหลับไปตลอดทางจนถึงวัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
เวลา ๑.๐๐ นาฬิกา ท่านก็เริ่มตื่น พอตื่นจากหลับแล้ว ท่านก็เริ่มทำหน้าที่เตรียมลา "ขันธ์ห้าเป็นภาระหนัก" ก่อนจะมรณภาพ
จนถึงเวลา ๒.๒๓ นาฬิกา ก็เป็นวาระสุดท้าย ...
ก่อนหน้านี้ประมาณสองชั่วโมงเศษ ท่านนอนท่าตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านคงจะเหนื่อยมากเพราะนอนท่านี้มานาน จึงพากันเอาหมอนที่หนุนอยู่หลังท่านออกมา เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านทราบก็พยายามขยับตัวหมุนกลับเพื่อจะนอนท่าตะแคงข้างขวาตามเดิม พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านก็พยายามเอาหมอนหนุนหลังท่านเข้าไปอีก ท่านเองก็พยายามขยับ ๆ เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นอาการของท่านอ่อนเพลียมากและหมดเรี่ยวแรงก็เลยหยุดไว้แค่นั้น
ดังนั้น การนอนของท่านจะว่านอนหงายก็ไม่ใช่ จะว่านอนตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงอาการเอียง ๆ อยู่เท่านั้น ทั้งเวลาของท่านก็จวนเข้ามาทุกที บรรดาศิษย์ก็ไม่กล้าแตะต้องร่างกายของท่านอีก จึงปล่อยท่านไว้ตามสภาพ คือนอนท่าเอียง ๆ ซึ่งเป็นความสงบอยู่ตลอดเวลา
ในวาระสุดท้ายนี้ต่างก็นั่งสังเกตลมหายใจของท่านแบบตาไม่กะพริบไปตาม ๆ กัน การนั่งของพระที่มีจำนวนมากในเวลานั้นต้องนั่งเป็นสองชั้น คือ ชั้นใกล้ชิดกับท่านและชั้นถัดกันออกมา ชั้นในก็มีพระผู้ใหญ่ มีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น ชั้นนอกก็เป็นพระที่มีพรรษาน้อย แล้วถัดกันออกไปก็เป็นพระนวกะและสามเณร
บรรดาพระทั้งพระเถระและรองลำดับกันลงมาจนถึงสามเณรในขณะนั้นรู้สึกจะแสดงความหมดหวังและหมดกำลังใจไปตาม ๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากออกมา นอกจากมีแต่อาการที่เต็มไปด้วยความหมดหวังและความเศร้าสลดเท่านั้น เพราะร่มโพธิ์ใหญ่มีใบหนาซึ่งเคยเป็นที่อาศัยและร่มเย็นอย่างยิ่งมาเป็นเวลานานกำลังถูกพายุจากมรณภัยคุกคาม จะหักโค่นพินาศในขณะนั้นอยู่แล้ว การทำหน้าที่ของท่านก็กำลังเป็นไปแบบมองดูแล้วหลับตาไม่ลงทั้งท่านผู้อื่นและเรา
ขณะที่ท่านจะสิ้นลมจริง ๆ นั้น รู้สึกว่าอาการทุกส่วนของท่านอยู่ในความสงบและละเอียดมาก จนไม่มีใครจะสามารถทราบได้ว่าท่านสิ้นลมไปในขณะใด นาทีใด เนื่องจากลมหายใจของท่านละเอียดเข้าเป็นลำดับจนไม่ปรากฏว่าท่านสิ้นไปเมื่อไหร่ เพราะไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแสดงอาการในวาระสุดท้ายพอให้ทราบได้ว่าท่านสิ้นไปในวินาทีนั้น
แม้จะพากันนั่งสังเกตอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีใครรู้ถึงขณะสุดท้ายของท่าน ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ซึ่งเป็นประธานอยู่ในที่นั้นเห็นท่าไม่ได้การจึงพูดขึ้นว่า
"นี่ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ?"
จากนั้นก็ดูนาฬิกาซึ่งเป็นเวลา ๒.๒๓ นาฬิกา จึงได้ยึดเอาเวลานั้นเป็นเวลามรณภาพของหลวงปู่มั่น ...!!
[หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน]
-------------------------------------------------------------------
ที่มา : ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี