- 20 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ www.tnews.co.th
ครั้งหนึ่ง "หลวงปู่หลอด ปโมทิโต" กับ "หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส" ได้ออกธุดงค์ไปที่บ้านควนปุ่น แถบจังหวัดหนองคาย พวกท่านได้รู้จักกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ชื่อ "คำต้น"
แม่คำต้นแนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาเพื่อให้แม่คำต้นเข้าทรงผี แล้วผีที่มาสิงร่างก็จะให้คำแนะนำต่าง ๆ ให้กลับไปทำตาม ซึ่งก็จะต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยมาบูชาผีทุกครั้งไป
แม่คำต้นเล่าให้ฟังว่า การเป็นคนทรงผีนี้ลำบากทรมานเหลือเกิน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี เวลาทำผิดผีคราวใด ผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่าง ไม่มีความสุขสบายใจเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย
แม่คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือ...อย่าให้ผีเข้าสิงอีกได้หรือไม่ เพราะไม่ต้องการให้ผีมากระทำอย่างเช่นที่ผ่านมาอีก และไม่ต้องการจะเป็นคนทรงผีอีกต่อไป
หลวงปู่หลอดจึงได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพา และบอกให้แม่คำต้นมาทำพิธีในวันรุ่งขึ้น พร้อมกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลาย ๆ คน เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาด มันจะมีแรงเกินกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
(หลวงปู่บัวพา)
เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ทั้งสองได้เริ่มทำพิธีด้วยการทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร จากนั้นก็บอกให้แม่คำต้นสงบใจตั้งจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้แน่วแน่ แล้วหลวงปู่บัวพาก็กล่าวนำสวดมนต์ไหว้พระ โดยมีหลวงปู่หลอดแผ่กระแสกุศลเมตตาเป็นพลังช่วยอีกทางหนึ่ง ส่วนแม่คำต้นก็นั่งหลับตาพนมมือ
ตอนแรกแม่คำต้นก็นั่งนิ่งเฉยเป็นปกติ แต่พอเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด พร้อมกับส่งเสียงครางฮือในลำคอตลอดเวลา พอดีกับที่หลวงปู่บัวพาทำน้ำพระพุทธมนต์เสร็จ ท่านจึงใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์แล้วพรมไปที่แม่คำต้น
ทันทีที่หยาดน้ำพระพุทธมนต์กระทบกับร่างแม่คำต้น หญิงวัยกลางคนก็กรีดร้องสุดเสียง ทะลึ่งพรวดสุดตัวประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นน้ำร้อนเดือดพล่าน ญาติพี่น้อง ๔-๕ คน ซึ่งคอยทีอยู่แล้วก็ต่างถลันเข้าไปช่วยกันจับตัวแม่คำต้นเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา ก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น
หลวงปู่บัวพาสาธยายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำพระพุทธมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม่คำต้นพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากการถูกจับยึด เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางจนแทบถลนออกนอกเบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวถมึงทึงเหมือนไม่ใช่แม่คำต้นคนเดิม คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า
"เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อน...ทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้... หยุดเดี๋ยวนี้!!"
(หลวงปู่หลอด)
หลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอดก็มิได้โต้ตอบแต่อย่างใด กลับยิ่งพรมน้ำพระพุทธมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก แม่คำต้นก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บัวพาบอกให้ผีที่สิงอยู่ในร่างแม่คำต้นออกไปเสีย แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์
คราวนี้หลวงปู่บัวพาไม่พรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว ท่านยกบาตรขึ้นเทน้ำพระพุทธมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมแม่คำต้นตรง ๆ เลย ผลปรากฏว่า หญิงกลางคนซึ่งเป็นร่างทรงของผีทะลึ่งพรวดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้าง เห็นแต่ตาขาว หวีดร้องโหยหวน น่าขนพองสยองเกล้า
"โอย! ทนไม่ไหวแล้ว... ข้ายอมแล้ว... จะออกไปแล้ว... อย่าทำข้า!!"
สิ้นเสียงร้อง แม่คำต้นก็ฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่บัวพาจึงรดน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้แม่คำต้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว คงฟุบหมอบหายใจรวยรินแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น แสดงว่าวิญญาณผีที่สิงร่างอยู่ได้เตลิดเปิดเปิงหนีหายไปหมดแล้ว
พักใหญ่ ๆ แม่คำต้นจึงได้ฟื้นคืนสติ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงงเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างในขณะที่วิญญาณผีร้ายเข้าสิง
เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดจากญาติพี่น้องแล้ว แม่คำต้นก็ดีใจมากที่หลุดพ้นจากอำนาจผีเสียที หลังจากทนทุกข์ทรมานมานาน หลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอดจึงได้ผูกข้อมือแม่คำต้นด้วยด้ายสายสิญจน์และทำมงคลคล้องคอให้เพื่อป้องกันไม่ให้ผีมาเข้าสิงอีกต่อไป
นับแต่นั้น แม่คำต้นก็ไม่ถูกผีมาเข้าทรงเข้าสิงอีกเลย ทว่าหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาก็ต้องอยู่ที่บ้านควนปุ่นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะผีที่เข้าสิงแม่คำต้นได้กลับไปรังควานชาวบ้านคนอื่น ๆ เป็นภาระให้หลวงปู่ทั้งสองต้องทำพิธีไล่ออกอีกหลายราย ...
ที่มา : www.dharma-gateway.com