ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th

หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์

วาจาสิทธิ์

รายที่ ๑ เมื่อประมาณปี ๒๕๐๔ หลวงพ่อขอแรงประชาชนให้ไปช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองวังตาวัด หลวงพ่อได้ไปทำการควบคุมคนทำงานอยู่ ณ ที่นั้น ขณะแดดร้อน หลวงพ่อก็กางร่ม ครั้นตกเย็นแดดร่มลมตก หลวงพ่อก็เก็บร่มไปวางไว้ที่ริมหัวสะพานข้างทาง ขณะนั้นเอง นายประเดิม (นามสมมติ) มีอาชีพเลี้ยงเป็ด ได้ขับรถยนต์ผ่านมา คงจะเป็นเพราะถนนแคบและไม่ได้ดูให้รอบคอบ รถยนต์ได้วิ่งไปทับร่มของหลวงพ่อจ้อยฯ หักพังเสียหาย หลวงพ่อคงจะนึกเสียดายร่ม จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ตาไม่เห็นหรือ” เท่านั้นเอง เวลาผ่านไปได้ประมาณ ๑ เดือน ลูกนัยน์ตาของนายประเดิมฯ จึงค่อย ๆ มัวลงและมืดมิด มองอะไรไม่เห็นเลย ทุกคนที่ทราบข่าวต่างก็พากันลงความเห็นว่าเป็นเพราะวาจาศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจ้อยฯ

อย่าริอาจขโมยของวัด.."หลวงพ่อจ้อย" ท่านวาจาสิทธิ์ เตือนไม่ฟังถึงกับบ้าไปเลย บางรายต้องผ่าท้อง เพราะลำไส้ตัน ทุกข์ทรมาน..

รายที่ ๒ ลุงเจียม (นามสมมติ) อยู่บ้านฝากคลองวัดศรีอุทุมพร ยามว่างจากการทำไร่ ทำนา ก็ยึดอาชีพจับปลาขายเป็นงานอดิเรก ลุงเจียมใช้ข่ายบ้าง จั่นบ้าง จับปลา กลางวันก็ลงข่ายห่างไกลออกจากวัดเป็นเล็กน้อย พอตกพลบค่ำก็ล่วงล้ำเข้าไปหาจับปลาในเขตวัด ซึ่งเรียกว่า “ เขตอภัยทาน ” คือเขตที่ให้อภัยแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง หลวงพ่อทราบพฤติกรรมของลุงเจียมก็ได้ออกปากห้ามปรามอยู่หลายครั้ง ลุงเจียมก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ยังขืนดื้อรั้นกระทำอยู่อีกเพราะความโลภ อยากได้ปลามากๆ จะได้นำไปขายได้เงินมากๆ ความโลภครอบงำจิตใจ จึงทำให้เห็นผิดเป็นถูก อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อจ้อยได้ทราบข้อเท็จจริงโดยถ่องแท้แล้วจึงได้ได้เอ่ยพูดกับลุงเจียมขึ้นว่า “ ต้องให้บอกกันทุกวันหรือไร พูดกันไม่รู้เรื่องหรือโยม ” เขตหวงห้าม เขตอภัยทานน่าจะให้อภัยกัน เวลาผ่านไปไม่นาน ลุงเจียมก็กลายเป็นคนวิกลจริต สติวิปลาส จำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งลูกเมียของตนเองก็จำไม่ได้และได้หายออกจากบ้านไป ลูกเมียก็ออกติดตามไปยังบ้านญาติพี่น้องทั้งใกล้และไกล แต่ก็ไม่สามารถติดตามหาลุงเจียมจนพบได้ จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าลุงเจียมแกยังมีชีวิตอยู่หรือล้มหายตายจากไปแล้ว ทุกคนที่ได้ทราบข่าวเรื่องนี้ก็ลงความเห็นกันว่าเป็นเพราะวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อจ้อยฯ เป็นแน่แท้

อย่าริอาจขโมยของวัด.."หลวงพ่อจ้อย" ท่านวาจาสิทธิ์ เตือนไม่ฟังถึงกับบ้าไปเลย บางรายต้องผ่าท้อง เพราะลำไส้ตัน ทุกข์ทรมาน..

รายที่ ๓ นายแสวง (นามสมมติ) อยู่บ้านวังเดื่อใกล้กับวัดศรีอุทุมพร ชอบลักลอบจับปลาและเต่าในเขตวัดเป็นประจำ และได้ขโมยไก่งวงของวัด จำนวน ๒ ตัว ไปรับประทาน พระอาจารย์ทองคำ (แกละ) จะไปแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมเพื่อดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายบ้านเมือง หลวงพ่อท่านทราบข่าวจึงห้ามไว้ไม่ให้พระอาจารย์ทองคำไปแจ้งความ พร้อมกับออกปากพูดว่า “ใครกินประเดี๋ยวมันก็พุงแตก” อยู่มาไม่ช้าไม่นาน นายแสวงเริ่มป่วย มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระไม่ออก ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส ภรรยาและบุตรได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ แพทย์ตรวจวินิจฉัยแล้วลงความเห็นว่า “ลำไส้ตัน” ต้องทำการผ่าตัดที่ท้องใช้ถ่ายอุจจาระทางสายยาง และล้มป่วยอยู่ไม่สู้นานก็ได้ถึงแก่กรรมลง

อย่าริอาจขโมยของวัด.."หลวงพ่อจ้อย" ท่านวาจาสิทธิ์ เตือนไม่ฟังถึงกับบ้าไปเลย บางรายต้องผ่าท้อง เพราะลำไส้ตัน ทุกข์ทรมาน..

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้

http://www.sriutumpron.com/content/10421

ศิษย์มีครู

เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์