- 22 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th/
อันพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมมฺวิตกฺโกภิกขุ)หรือที่เราท่านทั้งหลายรู้จักกันเป็นอย่างดียิ่งในนามของท่าน “เจ้าคุณนรรัตน์”แห่งวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานครองค์นี้ ท่านเป็นอัจฉริยบุคคล ผู้หาได้ยากยิ่งในโลก ด้วยท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ท่าน “ถึงพร้อม”ด้วยองค์คุณอันเลิศ ประเสริฐถึงขีดสุด ด้วยลักษณะทุกสถาน อีกทั้งยังเป็นพระสงฆ์สาวกแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ อย่างยวดยิ่ง ยากที่จะหาใครมาเสมอเหมือนหรือแม้แต่เพียงใกล้เคียงได้
ปฏิปทาและวัตรปฏิบัติของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น มีความมั่นคงและเด็ดเดี่ยวเป็นยิ่งนัก ท่านเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาที่เคร่งครัดต่อศีลาจารวัตรเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งภายใจและภายนอก ปราศจากมลทิลด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง เป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และเป็นเนื้อนาบุญชั้นเลิศในโลก เป็นผู้ควรค่าแก่การเคารพนบไหว้ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จนเป็นที่เชื่อมั่นและยอมรับจากบรรดา “ท่านผู้รู้”และ “ผู้ทรงคุณ”ทั้งหลาย อย่างสนิทใจว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯองค์นี้ ท่านได้สำเร็จโลกุตรธรรมขั้นสูงสุด ถึงระดับ “พระอรหันต์ขีณาสพ”แน่แท้แล้ว
เป็นการยากอย่างที่สุดแล้ว ที่จะหาพระภิกษุรูปใด ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในพุทธจักรไทย หรือวงการสงฆ์ในนานประเทศ ที่จะประพฤติดี ปฏิบัติชอบอย่างครบถ้วน ตามพระวินัยบัญญัติ อย่างเคร่งครัดเด็ดเดี่ยว และเสมอต้นเสมอปลายเทียบเท่ากับท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯได้
อาจที่จะกล่าวได้ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ท่านเกิดมาเพื่อเป็น “ที่หนึ่ง”โดยแท้ เพราะนับตั้งแต่แรกเกิดมา ท่านก็เป็นบุตรคน “ที่หนึ่ง”คนแรก คนหัวปีของครอบครัว “จินตยานนท์” เมื่อโตขึ้นตอนจะจบชั้นมัธยม ท่านก็สอบได้เป็น “ที่ ๑” ของประเทศ แม้ต่อมา เมื่อท่านเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนข้าราชการพลเรือน(จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ท่านก็จบเป็นบัณฑิตจุฬารุ่นที่ ๑ (รุ่นแรก) จบแล้วไม่จบเปล่า เพราะท่านก็ยังครองความเป็น “อันดับหนึ่ง” ด้วยคะแนนสอบที่เป็น “ที่หนึ่ง”ของรุ่นอีกต่างหากด้วย
ต่อมา เมื่อมีวาสนาได้สนองพระเดชพระคุณในล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ ด้วยผลการปฏิบัติงานดีเด่น ท่านจึงได้รับพระมหากรุณาฯแต่งตั้งเป็น “พระยาพานทอง”คนแรกของประเทศไทยที่มีอายุน้อยที่สุด คือได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยานรรัตนราชมานิต” เมื่อมีอายุได้เพียง ๒๕ ปี เมื่อปีพ.ศ.๒๔๖๕
ต่อมาอีก ๒ ปี คือปีพ.ศ. ๒๔๖๗ ท่านก็ได้รับพระมหากรุณาฯให้เป็น “องคมนตรี”คนแรกของประเทศไทยที่มีอายุน้อยที่สุดอีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อมีอายุได้เพียง ๒๗ ปีเท่านั้น และครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคต และท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯได้อุปสมบทถวายพระราชกุศลแล้ว แต่ กิติศัพท์แห่งความเป็นยอดคนของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯก็เลื่องลือไปต้องพระเนตรพระกรรณแห่งล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๗ ถึงกับทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นองคมนตรีในพระองค์ซ้ำอีกวาระ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๖๙ ทั้งๆที่ท่านยังครองผ้ากาสาวพัตร์อยู่เลยทีเดียว ทำให้ท่านกลายเป็น “ที่หนึ่ง”ในสองสถาน กล่าวคือ เป็น “องคมนตรี ๒ รัชกาล”คนแรกที่มีอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย และเป็น “องคมนตรี”คนแรก ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯขณะที่ยังอยู่ใน “สมณเพศ”อีกด้วย
และแม้เมื่อท่านได้บวชเป็นพระ “ความเป็นที่หนึ่ง”ก็ยังหาได้ละจากองค์ท่านไม่ เพราะท่านเจ้าคุนรรัตน์ฯนั้น ก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นเอก เป็นที่หนึ่งอย่างยากที่จะหาใครในยุคนี้หรือยุคไหนๆมาเทียบได้ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา หรือคิดเป็นวัน ก็ได้กว่า ๑๕,๐๐๐ วันที่ท่านอุปสมบถเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก็ปรากฏว่า ไม่มีวันใดเลยที่ท่านจะว่างเว้นการกรวดน้ำ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตนั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจะงดเว้นฉันภัตตาหาร ๑ วัน และนั่งกระทำสมาธิถวายพระราชกุศลตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งเช้ามิได้ขาดทุกปีไป อันนับเป็นยอดกตัญญูอย่างที่หนึ่ง อย่างที่ไม่เคยจะพบเห็นจากที่แห่งหนใดได้มาก่อนเลยตลอดชั่วชีวิตนี้ ที่สุด เมื่อท่านมรณภาพลง ท่านก็ยังคงเป็น”ที่หนึ่ง”อีกจนได้ ด้วยในตอนนั้น คุณละมูน มีนะนันท์เพิ่งสร้างศาลา”ละมูนนิรมิต”เสร็จพอดี ศพของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจึงได้เป็น”ศพที่หนึ่ง”ที่ได้นำมาบำเพ็ญกุศลที่ศาลาแห่งนี้จนได้อีกนั่นแล้ว
และเกี่ยวกับความเป็น”ที่หนึ่ง”นี้ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯได้เคยปรารภเอาไว้เองเช่นกันว่า “โลกไม่นิยมคนแพ้ โลกชอบคนชนะ ฉะนั้น เมื่ออยู่ในโลก ต้องเป็นคนชนะ ต้องเป็นที่หนึ่ง เหมือนนักมวย คนแพ้ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสงสาร หรือในนิยาย คนที่เป็นพระเอกก็ต้องชนะ” และ “ชีวิตของคนเรา ถ้าทำอะไรให้เป็นที่หนึ่งแล้ว มักจะต้องดีเสมอ เมื่อจะทำการงานหรือทำสิ่งใด ก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง มุ่งอยู่ในงานนั้นจนสำเร็จ แม้การทำสมาธิ ก็คือการทำใจให้เป็นหนึ่ง คือเป็นเอกัคคตานั่นเอง”
โดยเลข ๑ ในมีความหมายในทางพุทธศาสนา คือ "จิตนิพพาน"ของลูก ที่ไม่ยึดติดทั้ง ๓ โลก จิตของลูก ก็เป็นอิสระเสรีภาพ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส-ตัณหา-อวิชชา พ้นเวียนว่ายตายเกิด
อ้างอิงข้อมูลจาก - www.phuttawong.net , th.wikipedia.org