ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

จากกรณีที่นายจำรวน มุกดา อายุ 44 ปี และ นางทองปิ่น มุกดา อายุ 40ปี สองสามีภรรยา ได้รื้อบ้านเลขที่ 51/1 บ้านหนองศรีไพรัตน์ ต.วังตะแบก อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นบ้านของตนเอง เพื่อค้นหาต้นตะเคียน และพ่อนาคา แม่นาคี 2 พญานาค ถูกฝังสถิตอยู่ใต้พื้นบ้าน ตามความเชื่อที่ร่างทรงบอกไว้ เนื่องจากภายหลังจากที่บูชา บุตรชายอายุ 22 ปี ก็บรรเทาอาการป่วย จึงนำไปสู่การรื้อบ้านทิ้งแล้วขุดหาต้นตะเคียนศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อดังกล่าว แต่ก็ยังไม่เจอ จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาตักเตือนตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น…

 

บทเรียนราคาแพง!! รื้อบ้านตามหาพญานาค..ต้องฉุกคิด!! ความเจ็บป่วย ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป แม้แต่สมัยพุทธกาล “เจ้าที่” ยังถูกไล่!!

 


คงไม่มีใครปฏิเสธความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกได้ เมื่อลูกป่วยพ่อแม่ทุกคนย่อมหาหนทางวิธีรักษาลูกด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อมีผู้สามารถชี้ทาง จนลูกของเขาทุเลาจากอาการลง จึงไม่แปลกที่พ่อแม่จะยอมทุ่มหมดหน้าตักเพื่อให้ลูกหายจากอาการเจ็บป่วยโดยเด็ดขาดด้วยหัวอกที่รักลูกสุดหัวใจ
ไม่มีใครตั้งคำถามต่อความรักที่พ่อแม่มีให้ลูก ... แต่ที่ต้องตั้งคำถามคือ อาการเจ็บป่วย นั้นสามารถหายเพราะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามร่างทรงผู้ชี้ทาง จริงหรือ? หรือแค่เป็นเหตุบังเอิญเท่านั้น (แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่สามารถติดต่อร่างทรงผู้นั้นได้แล้ว)

บทเรียนราคาแพง!! รื้อบ้านตามหาพญานาค..ต้องฉุกคิด!! ความเจ็บป่วย ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป แม้แต่สมัยพุทธกาล “เจ้าที่” ยังถูกไล่!!


...จิตวิญญาณ (หรือสิ่งมีชีวิต? ) จากภพภูมิอื่น ที่เราๆท่านๆมองว่าศักดิ์สิทธิ์อย่าง พญานาค ตะเคียน หรือ เทวดา จะมีอิทธิพลเหนือการกระทำของมนุษย์ หรือไม่? ข้อสงสัยนี้อาจต้องยกเรื่องราวของ "อนาถบิณฑิกเศรษฐี" ผู้ใจบุญในพุทธศาสนา ซึ่งเคยขับไล่เทวดาหรือพระภูมิให้ออกจากบ้านไป

 

บทเรียนราคาแพง!! รื้อบ้านตามหาพญานาค..ต้องฉุกคิด!! ความเจ็บป่วย ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป แม้แต่สมัยพุทธกาล “เจ้าที่” ยังถูกไล่!!

เรื่องมีอยู่ว่า
ขณะนั้นเทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เทวดาองค์นั้นไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้


เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฏกายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า


“ท่านเป็นใคร?”


“ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน”


“ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจงออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด”


เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดาไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือแต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้


 เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า “ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน80 โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังจมหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”


เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
หากเป็นดังว่า แสดงว่าเทวดาหรือพระภูมิ นั้นไม่ได้มีอำนาจไปกว่ามนุษย์ หรือเจ้าของบ้านเลย หากเรายึดมั่นในความดี สิ่งอื่นก็ไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือเราไปได้เลย

 

บทเรียนราคาแพง!! รื้อบ้านตามหาพญานาค..ต้องฉุกคิด!! ความเจ็บป่วย ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไป แม้แต่สมัยพุทธกาล “เจ้าที่” ยังถูกไล่!!

 

ตามหลักพุทธศาสนา ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ทุกสิ่งเป็นผลจากการกระทำทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าแต่ปางก่อน หรือกรรมใหม่จากปัจจุบัน ล้วนแต่ส่งผลต่อชีวิตเรา ให้เป็นไปในทิศทางต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่อาการเจ็บป่วยก็เช่นกัน  


 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวว่า “หากใครเห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดมาจากกรรมทั้งสิ้นย่อมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน” เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ

 

โรคทางจิต คือ โรคที่เป็นสาเหตุเข้ามาทำลายความปกติสุข สามารถเป็นพาหะข้ามภพข้ามชาติได้ เป็น  “โรคาที่เรียกได้ว่ามาจากการกรรมเก่า” เช่นเกิดมาก็มีสติปัญญาพิกลพิการ ฟั่นเฟือน สมาธิสั้น ภาวะทางอารมณ์บกพร่อง

 

โรคทางกาย คือโรคที่ทำลายสุขภาพร่างกายให้พบแต่ความชำรุด เจ็บป่วย เป็นโรคที่เกิดมาจากกรรมใหม่และกรรมเก่าผสมกัน เช่น ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังใดที่รักษาไม่หาย แม้ต้องใช้เวลารักษานานมาก ก็ยังไม่หายขาดอาการและได้รับความทรมานจากโรคนั้นตลอดเวลา

 

 การเจ็บป่วยไว้5 ประการ


1. เกิดจากอุตุนิยาม เป็นกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น ความร้อน ความหนาวที่มากเกินไป เกิดอุทกภัย วาตภัย ซึ่งถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรค
2. เกิดจากพืชนิยาม เป็นกฎธรรมชาติของพืชพันธ์ หรือ เกิดจากพันธุกรรม เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคเอดส์ ที่สามารถถ่ายทอดได้กรรมพันธุ์
3. เกิดจากจิตตนิยาม เป็นกฎธรรมชาติเกี่ยวกับสภาพจิตใจ หรืออุปาทานความนึกคิดที่อาจปรุงแต่งจนเกินไปได้ อาจมีผลกระทบต่อภาวะจิตใจและส่งผลต่อไปถึงร่างกาย
4.เกิดจากกรรมนิยาม ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดจากการกระทำหรือการแสดงเจตนา คือตนเองเป็นคนกระทำทำให้เกิดโรคขึ้นมาจึงต้องรับผลแห่งการเป็นโรคนั้นๆ ด้วยตนเอง เช่นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสภาพของร่างกายทั้งหลาย
5.เกิดจากธรรมนิยาม ว่าด้วยเรื่องเหตุและผล เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกสิ่งย่อมมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป การเกิดโรคก็เช่นเดียวกันเมื่อมีการเกิดโรคย่อมมีการหายจากโรค หรือมีการดำเนินของโรคนั้นไปตามความเป็นจริง เพราะโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดอยู่ย่อมมีสาเหตุการเกิดแน่นอน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันคือ ผลที่มาจากเหตุล้วนๆ อาจเกิดมาจากรรมหรือการกระทำล้วนๆ หรืออาจเกิดได้ตามกฎแห่งธรรมชาติ

 

สุดท้ายนี้ สิ่งที่จะฝากไว้คือ .. สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย คือ เข้ารับการักษาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง มีหลักมีเกณฑ์ที่เชื่อถือได้ ให้คิดตามหลักกาลามสูตร คือ หลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่


1.มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2.มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3.มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4.มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5.มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
6.มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
7.มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
8.มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9.มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
10.มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา


และระหว่างการรักษานี้ทำจิตใจให้สงบ มีสติเสมอ ด้วยพึงระลึกเสมอว่าอาการเจ็บป่วยนั้นมาจากทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ผสมกัน กรรมในที่นี้ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณที่จับต้องไม่ได้ แต่อาจเพราะกรรม(การกระทำ)ที่เข้าไปรับเชื้อโรค รับแบคทีเรียมา และหมั่นแผ่เมตตาให้กับอาการเจ็บป่วย การแผ่เมตตานี้ไม่ใช่เรื่องเชิงลี้ลับอะไร แต่เป็นการฝึกจิตให้มีสติ และทำใจให้เบา ไม่มักโกรธ ไปเจอหมอก็ยิ้มแย้ม มีสติทานยาตามฉลากอย่างถูกต้อง ถึงแม้การรักษาจะไม่เป็นไปดังที่คิด แต่การแผ่เมตตาจะช่วยให้เราเป็นผู้รู้จักอภัย แต่ปล่อยวางต่อความเจ็บไข้ที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมดาของสังขารที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป  ...


...ทุกคนเกิดมา ล้วนต้องเผชิญ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่อยาก “เจ็บ” ก็ต้องไม่ “เกิด” และวิธีที่จะไม่ให้ “เกิด” คือการ ปล่อยวาง...

 

อ้างอิง : 84000.org